ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China)

ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China)
ประเทศจีนที่ซึ่งประวัติศาสตร์และตำนานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ จนบางครั้งมันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกเรื่องจริงออกจากนิทานในดินแดนที่สสารไม่จีรัง เหมือนหมอกยามเช้าในหุบเขาลุ่มแม่น้ำเหลือง กองหินมหึมาที่เรียกว่ากำแพงเมืองจีน โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินทันทีทันใดเหมือนมังกรหลับใหล หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณและโลกปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของมันถูกห้อมล้อมด้วยเรื่องเล่าขานของเหตุการณ์นองเลือดและความบ้าคลั่ง มันถูกกล่าวว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ยาวที่สุดในโลก มังกรหินขนาดมหึมาที่ขนาดของมันไม่เพียงแต่น่าเกรงขาม แต่ยังเป็นแนวคิดของมันเอง มันเป็นการเปลี่ยนสัญลักษณ์ของความอัปยศ ความขัดแย้งของชาติ เป็นหลักการทางจิตวิทยาและวัฒนธรรมของประเทศจีนสมัยใหม่ด้วย

กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการของประเทศจีนในปี 1972 เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เดินเข้าไปในระหว่างการเยือนเพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศจีน เขากล่าวว่า "ผมคิดว่าคุณต้องพูดได้ว่า มันต้องเป็นกำแพงอันยิ่งใหญ่ ถูกสร้างโดยคนของประเทศที่ยิ่งใหญ่" แต่ชาวจีนเองไม่รู้สึกภูมิใจกับมันเสมอไป มุมมองเดิมของจีนต่อกำแพงก็คือพวกเขาคิดว่า มันเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่กดขี่ ความอ่อนแอทางทหารและความไร้ประโยชน์ มันเป็นสัญลักษณ์ของการทนทุกข์ของชาวจีนภายใต้การปกครองแบบกดขี่ มันเริ่มขึ้นที่บริเวณภูเขาบรรจบกับทะเล ที่ชางไห่กวนและทอดยาวผ่านภาคเหนือของจีนไปจรดขอบทะเลทรายโกบี ก่อให้เกิดระบบที่เรียกว่ากำแพงยาวซึ่งกินระยะทางหลายพันไมล์ของดินแดนจีน และความสง่างามของมันได้รับการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางทั้งในนิทานและในตำนาน

ถึงกระนั้นโลกตะวันตกก็ไม่ได้รับรู้ถึงการปรากฏอยู่ของกำแพงเมืองจีนเป็นเวลากว่า 1,500 ปี ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มันไม่ปรากฏอยู่ในภาพวาดของจีนสมัยนั้น หรือในบันทึกของมาโคโปโลตอนที่เขามาประเทศจีนในศตวรรษที่ 13 ในความเป็นจริงชาวจีนไม่ได้เรียกมันว่ากำแพงอันยิ่งใหญ่ จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ที่โลกตะวันตกหลงใหลมันจนตั้งชื่อนี้ให้ ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 เริ่มมีแนวคิดแบบตะวันตกที่สถาปนาให้กำแพงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของประเทศจีน และชาวจีนก็ยอมรับแนวคิดนี้ เพื่อให้มันกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมสมัยใหม่ของประเทศจีน

ในปี 1908 นักเขียนและนักผจญภัย วิลเลี่ยม เอดการ์ กิล (William Edgar Geil) กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่เดินทางตลอดแนวกำแพง ข้อสังเกตของเขาเป็นคำเชื้อเชิญมากกว่าคำชมเชย และคำประกาศอันน่าอับอายของเขาถูกนำมากล่าวซ้ำจนถึงปัจจุบันว่า "กำแพงเมืองจีนคือสัญลักษณ์แห่งยุคทองของจีน มันยาว 1,700 ไมล์ และเป็นสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ที่มองเห็นด้วยตาเปล่าจากดวงจันทร์" ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่สามารถเห็นกำปพงเมืองจีนได้จากดวงจันทร์ เรื่องราวนี้ถูกแพร่ออกไปตอนที่มีการขึ้นสู่อวกาศ และมันก็เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักบินอวกาศ ในหมู่คนที่เคยออกไปอยู่ในอวกาศว่า คุณไม่สามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากอวกาศได้ และนักบินอวกาศมักจะบอกว่า มีคนไม่น้อยที่ถามคำถามนี้ แต่เรื่องเล่าอื่นๆยังคงอยู่และแทบไม่เคยได้รับการยืนยันจากวิทยาศาสตร์

มีการคำนวณทุกชนิดในศตวรรษที่ 19 ออกมาว่า คุณเอาหินทุกก้อนจากกำแพงมาเรียงใหม่ได้รอบเส้นศูนย์สูตร หรือว่ามันมีมวลเท่ากับบ้านทุกหลังในอังกฤษและสก็อตแลนด์ และเรื่องเหล่านี้ก็อยู่มาจนถึงในศตวรรษที่ 20 ตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันมีกำแพงเมืองจีนจริงหรือไม่ มันเต็มไปด้วยความสงสัยว่ากำแพงเมืองจีนเคยปรากฏอยู่ในฐานะแนวป้องกันชิ้นเดียวยาวต่อเนื่องข้ามภาคเหนือของประเทศจีน มันน่าจะเป็นกำแพงไม่ต่อเนื่องหลายชุดที่สร้างในเวลาต่างๆ กัน โดยผู้คนต่างๆ กัน เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ กัน แล้วนำมาต่อกัน ปล่อยให้ผุพัง สร้างใหม่ และขยายออกในช่วงราวๆ 2,000 ปี เมื่อคนคิดถึงกำอพงเมืองจีน พวกเขาคงจะคิดถึงสิ่งก่อสร้างใหญ่โต ยาวต่อเนื่องกันหลายพันไมล์ข้ามประเทศจีน แน่นอนว่าความจริงมันต่างจากนั้นมาก กำแพงถูกสร้างเป็นชิ้นๆ ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าซากปรักหักพังทางโบราณคดีเลย และในพื้นที่ห่างไกลของจีนส่วนใหญ่มันก็ถูกทับถมไปแล้ว

ส่วนของกำแพงที่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิงที่ยังเหลืออยู่ ส่วนที่พวกเขาสร้างในศตวรรษที่ 16 นั้นน่าทึ่งมาก มันเป็นกำแพงอิฐตันอยู่บนภูเขาสูงชันพร้อมด้วยหอสังเกตการณ์ และมันก็ยากมากที่จะจินตนาการว่าพวกเขาสร้างมันจนเสร็จได้อย่างไร สำหรับขนาดอันใหญ่โตและมิติอันหนักแน่นของมัน กำแพงเมืองจีนยังคงมีปริศนาซ่อนอยู่ มันไม่เคยได้รับการสำรวจอย่างทั่วถึง และแม้แต่ในปัจจุบัน ไม่มีใครแน่ใจถึงความยาวและเส้นทางแท้จริงของมัน ประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองจีนที่ตกมาถึงเรา คือการผสมผสานอันแปลกประหลาดของความจริงและจินตนาการ หลักฐานอันหนักแน่นเพียงเล็กน้อยหลอมรวมกับเรื่องเล่าขานและตำนาน และมันก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกมันออกจากกัน

ไม่เคยมีอารยธรรมใดที่ดูจะนิยมการสร้างกำแพงมากกว่าชนชาติจีนอีกแล้ว การตั้งถิ่นฐานครั้งแรกสมัยยุคหินกลางหรือนีโอลีธิก (Neolethics) ส่วนสำคัญของเมืองถูกล้อมรอบด้วยคันดินถม อันที่จริงแล้วคำว่าชางที่แปลว่าเมืองในภาษาจีนยังแปลว่ากำแพงอีกด้วย กำแพงเมืองจีนคือกำแพงซ้อนกำแพง กำแพงเมืองจีนเป็นส่วนปกป้องกำแพงที่ซ้อนกันอยู่ทั้งปวง รวมถึงกำแพงของบ้านพักอาศัยด้วย กำแพงเป็นส่วนลึกล้ำทางประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมจีน พวกเขาสร้างกำแพงล้อมรอบบ้านและวัด เทพเจ้าของกำปพงและอาคารมีอำนาจเหนือขอบเขตความเป็นและความตาย คนจีนสร้างกำแพงเพื่อระบุขอบเขตของพวกตน เพื่อป้องกันผู้แปลกหน้าจากที่ห่างไกล กำแพงในบางแห่งอาจมีความสำคัญในบางพิธีกรรมด้วย ประเทศจีนสมัยก่อนเป็นอาณาจักรที่ปราศจากความสงบ การที่ชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือและอาณาจักรข้างเคียงที่ตื่นตัวทุกครั้งเมื่อมีสัญญาณของความอ่อนแอ กำแพงจึงถูกมองว่าเป็นความจำเป็นทางยุทธศาสตร์

จนสิ้นศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล บริเวณที่กลายเป็นประเทศจีนได้ก้าวเข้าสู่ยุคของความขัดแย้งระหว่างรัฐที่ยาวนานถึง 500 ปี มันประกอบด้วยรัฐที่ปกครองด้วยระบบขุนนางและรัฐเล็กๆ ที่ปกครองด้วยระบบศักดินาที่มารวมตัวกันหลายแห่งมารวมตัวกันอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซึ่งมีอำนาจทางจิตใจและพิธีกรรมมากกว่าในทางปฏิบัติ จนถึงกลางศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล เกียรติยศและพันธไมตรีที่มอบให้จักรพรรดิต้องหลีกทางให้กับความเห็นแก่ตัวและการเข่นฆ่า มันคือช่วงสงครามระหว่างแคว้นที่ชาวจีนเริ่มสร้างกำแพงขึ้นอย่างจริงจัง แคว้นฉีสร้างกำแพงขึ้นตามแนวชายแดนด้านใต้เพื่อป้องกันศัตรูจากแคว้นฉู แคว้นฉูสร้างกำแพงตามแนวชายแดนด้านเหนือเพื่อป้องกันตนเองจากแคว้นฉิน แคว้นเยนและแคว้นเฉาสร้างกำแพงเพื่อป้องกันตนเองจากพวกเร่ร่อนทางเหนือและจากกันและกัน กำแพงมีความยาวทั้งหมดประมาณ 2,800 ไมล์ กำแพงถูกสร้างขึ้นตามแนวชายแดนของแคว้นต่างๆ ที่ทำสงครามกัน

ในยุคหนึ่งมีแคว้นต่างๆ ถึง 120 แคว้น เมื่อถึงช่วงสูงสุดของสมัยสงครามระหว่างแคว้น และมีเพียง 7 แคว้นที่เหลืออยู่ มีการทำลายแคว้นเล็กๆ มากมายทั่วทั้งประเทศจีน ที่หลงเหลือมาจากสมัยสงครามระหว่างแคว้นคือ ปรัชญาชีวิตหลักของจีนที่เริ่มก่อตัวขึ้น ขณะที่มีผู้มีความรู้พยายามคิดว่า สิ่งใดผิดพลาดและจะแก้ไขมันอย่างไร ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ขงจื๊อเห็นถึงความจำเป็นในการเคารพกฎและความสำคัญระหว่างมนุษย์และสวรรค์อย่างเคร่งครัดและเสียใจกับการมีสงครามและกำแพง ลัทธิกลุ่มหนึ่งคือลัทธิเต๋าค้นพบคำตอบในธรรมชาติและเชื่อว่า ทุกสิ่งมีสภาพเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาพลังหยินและหยาง เพราะฉะนั้นการดิ้นรนและสงครามจึงเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าปรัชญาเหล่านี้กลายเป็นนโยบายระหว่างรัฐ มันคงเป็นไปได้ยากที่กำแพงจะถูกสร้างขึ้นมา

แต่แคว้นฉินใช้ระบอบการปกครองเบ็ดเสร็จด้วยกฎหมายการลงโทษและการให้รางวัล มีเรื่องเล่าที่ดีมากเกี่ยวกับคนดูแลมงกุฏและคนดูแลเสื้อคลุม ในคืนหนึ่งที่ฮ่องเต้หลับอยู่หน้าบริเวณเตาผิง คนดูแลมงกุฏจึงนำเสื้อมาคลุมให้ท่าน ฮ่องเต้ตื่นขึ้นมาถามว่า ใครห่มเสื้อคลุมให้ฉัน ผู้ดูแลมงกุฏก็ตอบว่าข้าเอง แล้วฮ่องเต้ก็สั่งให้นำตัวไปประหารทันทีเพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเขา เรื่องเหล่านี้เป็นแนวทางของกองทัพฉินในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล พวกเขาเริ่มเคลื่อนกำลังข้ามแผ่นดินจีนผนวกเอาแคว้นต่างๆ เข้าไปเหมือนหนอนไหมกัดกินใบหม่อนตามบันทึกนักประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น 246 ปี ก่อนคริสตกาล เหตุการณ์สำคัญก็เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กชายอายุ 13 ก้าวเข้าสู่บัลลังค์ของแคว้นฉิน เขาเป็นที่รู้จักในนามของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิคนแรกของประเทศจีน ตำนานกล่าวว่าเขาบินไปยังดวงจันทร์ด้วยพรมวิเศษในความฝัน เมื่อมองลงมาเขาเห็นอาณาจักรของเขามีภัยคุกคามจากศัตรูมากมาย เขาปลุกบรรดาที่ปรึกษาขึ้นมาแล้วบอกว่า ข้าจะสร้างกำแพงที่ยิ่งใหญ่

ในปี 1974 ชาวนาที่กำลังขุดบ่อน้ำพบหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าทึ่ง มันคือหลุมฝังตุ๊กตากระเบื้องพลทหาร พลธนู รถม้าศึกและม้า ทั้งหมดนี้มีขนาดเท่าของจริงและแต่ละตัวนั้นแตกต่างกันดูราวกับว่ามีต้นแบบมาจากของจริง ทุกวันนี้ตุ๊กตามากกว่า 6,000 ตัวถูกขุดขึ้นมา กองทัพกระเบื้องเคลือบที่ถูกออกแบบให้สู้ศึกเพื่อฮ่องเต้ในโลกหน้า หรือบางทีเพื่อคุ้มกันการหลับใหลชั่วนิรันดร์ในอาณาจักรของพระองค์ ในบริเวณใกล้เคียงเป็นหลุมฝังพระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีน หรือที่ขนานนามกันว่าปฐมกษัตริย์ ตามบันทึกที่ตกทอดสู่ราชวงศ์ต่อมา การขึ้นครองราชย์ของจิ๋นซีฮ่องเต้มีที่มาค่อนข้างคลุมเครือ พระมารดาของพระองค์เป็นนางระบำสาวเสน่ห์แรงและเป็นภรรยาน้อยของพ่อค้าเร่ผู้มีเล่ห์เหลี่ยมมากพอกับความร่ำรวย ขณะที่เข้ามาค้าขายในพระราชวัง พ่อค้าขอให้เธอเต้นรำกับรัชทายาทของราชวงค์ฉิน เมื่อพระองค์ตกหลุมรักเขาก็ยกเธอให้พระองค์ โดยไม่เคยเอ่ยปากเลยว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของเขาอยู่ องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์หลังขึ้นครองราชย์ไม่นาน แล้วจากนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ก็สืบทอดบัลลังค์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย

ขณะที่ฮ่องเต้น้อยเติบโตขึ้น พระองค์เริ่มแสดงอุปนิสัยแปลกๆ และเกิดอาการวิตกกังวล พระองค์สั่งเนรเทศพระมารดา และสั่งพระบิดาอดีตพ่อค้าที่ว่าราชการแทนในวัยเยาว์ของพระองค์ให้ฆ่าตัวตาย พระองค์เรียกโหร หมอผี และที่ปรึกษาเจ้าเล่ห์ ไร้ศีลธรรมหลายคนให้เข้ามารับใช้ใกล้ชิด ประมาณ 234 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ส่งกองทัพออกไปเพื่อพิชิตแผ่นดินจีนที่บรรพบุรุษได้เริ่มไว้ เมื่อเกิดสงครามระหว่างแคว้นก็มีแคว้นอิสระแยกตัวออกมา และท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสองแคว้น จนเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล ประเทศจีนก็รวมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อแคว้นฉินทำลายแคว้นฉีจนได้ จิ๋นซีฮ่องเต้ประกาศว่าตนคือจักรพรรดิของแผ่นดินใหม่ที่พระองค์ตั้งชื่อว่าจีน ตามราชวงค์ของพระองค์ และรีบรวมอำนาจอย่างรวดเร็ว จิ๋นซีฮ่องเต้สร้างอาณาจักรขึ้น ซึ่งมันไม่เคยมีมาก่อน พระองค์สร้างระบบถนนภายในประเทศ พระองค์สร้างมาตรฐานให้กับอักษรจีน พระองค์รวมสกุลเงินจีนต่างๆเป็นหนึ่งเดียว พระองค์สร้างมาตรฐานให้อาณาจักร พระองค์ทำให้มันเป็นเอกภาพ พระองค์ยังสนใจเรื่องเวทมนต์ การเล่นแร่แปรธาตุอย่างเหลือเชื่อ และเชื่อว่าพระองค์สามารถเอาชนะความตายและเป็นอมตะได้ พระองค์อยากเป็นคนครองโลก

จิ๋นซีฮ่องเต้ตั้งมาตรฐานการชั่ง ตวง วัด ด้วยระบบที่มีพื้นฐานอยู่บนเลขหก อันเป็นเลขมหัศจรรย์ของพระองค์ พระองค์ประกาศว่าสีดำคือสีที่มีพลังลึกลับของพระองค์เป็นสีทางการสำหรับเสื้อผ้าและธงของอาณาจักรและสถาปนาตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ และออกพระราชบัญญัติว่าราชวงศ์ฉินจะปกครองตลอดไป จากนั้นพระองค์ก็ตัดสินพระทัยสร้างกำแพง ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าความคิดของการสร้างกำแพงเมืองจีนเข้ามาอยู่ในพระทัยของจักรพรรดิเมื่อใด หรือทำไมพระองค์ตัดสินพระทัยสร้างมัน ตำนานหนึ่งเล่าว่าหนึ่งในโหรของพระองค์ทำนายว่าราชวงค์ของพระองค์จะล่มสลายด้วยฝีมือของเผ่าคนเถื่อนจากภาคเหนือ ส่วนเรื่องอื่นก็เกี่ยวกับความฝัน ลางบอกเหตุ และความตั้งพระทัยของจักรพรรดิที่จะสร้างอนุสรณ์ถึงความรุ่งเรืองของพระองค์เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส

จิ๋นซีฮ่องเต้แต่งตั่งให้นายพลเม้งเทียน นายทหารผู้แข็งขันและมากด้วยความสำเร็จรับผิดชอบการสร้างกำแพง เพื่อจะแบ่งแยกผู้คนที่มีอารยธรรมจากพวกคนเถื่อน และปีศาจร้ายที่อาศัยอยู่พื้นที่ว่างเปล่าทางเหนือ  กำแพงเริ่มต้นตั้งแต่ทะเลเหลืองทางตะวันออกไปจนถึงทะเลทรายโกบีทางตะวันตก มันต้องมีความสูง 24 ฟุต และมีความกว้างมากพอที่นายทหาร 8 นายจะเดินเรียงหน้ากระดานได้ กำแพงต้องสร้างตามลักษณะภูมิประเทศตราบเท่าที่เป็นได้และต้องไม่สร้างเป็นเส้นตรง เพราะเชื่อว่าปีศาจเดินทางได้เป็นเส้นตรงเท่านั้น เทคนิคการสร้างกำแพงแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละที่ และมีกำแพงของจิ๋นซีฮ่องเต้เหลืออยู่น้อยมากจนไม่สามารถบอกได้ว่ามันถูกสร้างอย่างไร กระนั้นนักวิชาการเชื่อว่ามันถูกใช้เป็นแนวไว้สำหรับสร้างเพิ่มเติมตามรากฐานของมัน

นายพลเม้งเทียนเริ่มด้วยการสร้างหอคอยก่อน โดยสร้างจากอิฐและหินโดยมีฐานเป็นเศษหิน หอคอยเหล่านี้สูงประมาณ 40 ฟุต มีฐานเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 40 ฟุต เมื่อสร้างหอคอยเสร็จแล้วมันจะถูกเชื่อมเข้าด้วยกำแพงหิน เพื่อป้องกันผู้รุกรานและปีศาจร้าย ป้อมปราการที่ใหญ่พอที่จะบรรจุทหารได้หลายร้อยนายถูกจัดวางอยู่ในระยะธนู 2 ดอก เพื่อให้สามารถคุ้มกันพื้นที่ระหว่างนี้ได้ หอคอยโผล่ออกมาจากกำแพงเหมือนป้อมปืน ดังนั้นฝ่ายป้องกันสามารถยิงใส่ผู้รุกรานได้ตลอดแนวกำแพง มีการประมาณว่าชาวแคว้นฉินภายใต้การดูแลของนายพลเม้งเทียน ก่อสร้างกำแพงใหม่หลายร้อยไมล์ส่วนที่เหลือเป็นการก่อสร้างเพิ่มจากของเดิมที่แคว้นอื่นทำไว้แล้วรวมกับของใหม่ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการเชื่อมกำแพงรุ่นก่อนๆที่สร้างในสมัยสงครามระหว่างแคว้น พวกเขาใช้เทคนิคการบดอัดดิน เป็นเทคนิคเดียวที่พวกเขารู้จัก ซึ่งมันไม่ได้แตกต่างจากกำแพงในยุคนีโอลีธิกส์เลย เพียงแต่มันมีขนาดที่ใหญ่กว่าเท่านั้นเอง

ในภูเขาทางทิศตะวันออก ดินแห้งถูกนำมาถมระหว่างกำแพงหินหรืออิฐจนได้ระดับที่แน่นพอเพียง จากนั้นหินหรืออิฐจะถูกนำมาเรียงทับหน้าเพื่อป้องกันฝนชะล้างและใช้เป็นถนน ห่างออกไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นหินตะกอนละเอียดที่เรียกว่าดินเหลือง คนงานจะเทดินที่ผสมกับน้ำลงในพิมพ์ไม้แล้วนำไปก่อเป็นโครงสร้างให้แข็งแรงเมื่อมันแห้งแล้ว บนพื้นที่แห้งแล้งของที่ราบฝั่งตะวันตก กำแพงถูกสร้างจากใบต้นปาล์ม ต้นกก แสม กับกรวดและโคลน ไปจนสิ้นสุดที่ริมทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เลยไปจากนั้นเป็นดินแดนที่สิงสถิตย์ของวิญญาณร้าย นายพลเม้งเทียนสร้างกำแพงเหล่านี้เสร็จภายในเวลาน้อยกว่า 10 ปี หรือเสร็จก่อน 210 ปีก่อนคริสกาล แต่เรื่องราวที่คาดการณ์เกี่ยวกับมูลค่าของมันในแง่ความทุกข์ทรมานและชีวิตที่สูญเสีย เรื่มแพร่กระจายออกไปแล้ว

แรงงานจำนวนมากมาจากการเกณฑ์ชาวนาผสมกับนักโทษ ทหารที่ถูกจับได้ ขุนนางตกยาก นักปราชญ์ และคนอื่นๆที่ถูกเรียกว่าเป็นศัตรูของอาณาจักร เป็นที่กล่าวกันว่าทุกๆสิบคนที่ถูกเกณฑ์มา มีเพียงสามคนรอดกลับบ้าน จักรพรรดิมีคำสั่งอีกว่า ใครก็ตามที่แอบหลับจะต้องถูกฝังทั้งเป็นไว้บนกำแพงนั่นเอง ความทรงจำอันแพร่หลายของการสร้างกำแพงก็คือ ชาวนาถูกกวาดต้อนมาทำงานแล้วก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย โดยถูกใช้งานเยี่ยงทาสจนเสียชีวิตในผืนป่าที่ห่างไกล มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก และมีเรื่องเล่าว่า ศพของชาวนาถูกโยนทิ้งลงไปในช่องว่างระหว่างกำแพง ซึ่งเป็นที่ใส่เศษหิน ความเลวร้ายนี้ถูกระบายออกมาผ่านบทกวีมากมาย ชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือตำนานของคุณนายเม็ง หนึ่งในเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่เด็กๆเรียนในช่วงยี่สิบปีแรกของการปกครองระบบสังคมนิยม เป็นเรื่องของหญิงคนหนึ่งตามหาสามีของเธอที่ถูกจิ๋นซีฮ่องเต้ส่งไปเป็นแรงงานทาสที่กำแพงนั่น แล้วเธอก็พบว่าเขาตายแล้วและอาจจะถูกฝังอยู่ในกำแพงเหมือนกับหลายๆคน ดังนั้นกำแพงจึงถูกมองว่าเป็นผลงานของความกดขี่ของระบอบขุนนาง ซึ่งถูกสร้างโดยหยาดเหงื่อของคนธรรมดาภายใต้การทารุณของทรราชย์ ขณะที่ในตอนนี้กำแพงนั้นถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของประเทศจีน ความยั่งยืนของอารยธรรมของมัน เป็นการแสดงพลังอำนาจ ประวัติศาสตร์

เมื่อการก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด หนึ่งในโหรของจักรพรรดิกล่าวว่า กำแพงจะไม่มีวันเสร็จ ถ้าไม่มีการฝังคนหนึ่งหมื่นคนทั้งเป็นในนั้น จักรพรรดิรู้สึกว่าพระองค์ไม่อาจเสียคนขนาดนั้นได้ จิ๋นซีฮ่องเต้แก้ปัญหาด้วยการหาชายคนหนึ่ง ซึ่งชื่อของเขามีตัวอักษรที่มีความหมายว่าหนึ่งหมื่นมาฝังไว้ในกำแพงแทน ประมาณกันว่ามีคนงานสร้างกำแพงหนึ่งล้านคนระหว่างการทำงานที่ยาวนานหลายปีในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีผู้เสียชีวิตมากมายจากภูมิอากาศ ความเหนื่อยล้า และความอดอยาก แม้กระทั่งทุกวันนี้ยังมีเรื่องเล่าที่ว่าศพของพวกเขาถูกฝังตรงที่เสียชีวิตอยู่ในสุสานยาวที่สุดในโลกตลอดกาล หลังจากรวมประเทศจีนเข้าเป็นหนึ่งเดียวไม่ทันถึงสิบปี การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีก โครงการสาธารณะเช่น คลอง ถนน และระบบเกษตรกรรม ได้รับการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ขณะนี้เมื่อมีกำแพงใหญ่ล้อมรอบ จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงประกาศว่าไม่มีใครจะเอาชนะอาณาจักรของพระองค์ได้ แต่มีสุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า สูงสุดคืนสู่สามัญ

แม้ขณะที่กำแพงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จิ๋นซีฮ่องเต้ยังคงถลำลึกลงไปในเรื่องไสยศาสตร์และความวิปลาส สองร้อยสิบสามปีก่อนคริสกาล พระองค์ตัดสินพระทัยว่าประวัติศาสตร์ควรเริ่มต้นที่พระองค์และสั่งให้เผาหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหมด ใครที่พบว่ามีหนังสือเหล่านี้อยู่ในครอบครองหลังการประกาศจะถูกส่งไปใช้แรงงานสร้างกำแพง หรือถูกฝังทั้งเป็น ประมาณการว่านักปราชญ์ 460 คนเสียชีวิต เมื่อบุตรชายองค์โตและเป็นรัชทายาทของพระจักรพรรดิคัดค้านนโยบายนี้ เขาก็ถูกเนรเทศให้ไปช่วยงานนายพลเม้งเทียนทางเหนือ ขณะที่จักรพรรดิมีพระชนม์มายุเพิ่มขึ้น ความลุ่มหลงกับความตายของพระองค์ก็เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้จะมีบันทึกว่าพระองค์เข้าเยี่ยมชมการก่อสร้างกำแพงของพระองค์เพียงครั้งเดียว และมีรายงานว่าพระองค์ออกเดินทางค้นหายาที่จะทำให้เป็นอมตะถึง 5 ครั้ง แต่พระองค์ก็สิ้นพระชนม์เมื่อมีอายุได้ 49 พรรษา ในการเดินทางครั้งหนึ่ง การสิ้นพระชนม์ของพระองค์อาจเกิดจากยาที่มีสารอันตรายอย่างตะกั่วหรือสารหนูที่พระองค์เสวยเข้าไปเพื่อเสาะหาชีวิตอมตะ

ราชวงค์ของพระองค์ล่มสลายด้วยน้ำมือของบุตรชายคนที่สองที่ชื่อ อู๋ไห่ การที่รัชทายาทอันชอบธรรมอยู่ระหว่างการถูกเนรเทศ ทำให้อู๋ไห่ขึ้นครองราชย์อาณาจักรฉิน พร้อมความเจ้าเล่ห์ โหดร้ายที่เหมือนพระบิดา แต่ขาดซึ่งความเข้มแข็งและความเป็นผู้นำแบบจิ๋นซี เขาสั่งขังที่ปรึกษาทั้งหมดของพระบิดา รวมทั้งนายพลเม้งเทียน ผู้ซึ่งฆ่าตัวตายหลังจากไตร่ตรองความโชคร้ายของตนและกล่าวว่า เขาสมควรตาย เพราะเขาละเมิดชี่ อันเป็นการไหลของพลังงานโลกด้วยการก่อสร้างกำแพงที่ละเมิดพื้นที่ภูเขา แม่น้ำ และพื้นที่ธรรมชาติอื่นๆ  อู๋ไห่ครองราชย์ได้เพียงสี่ปี ก่อนที่ฝ่ายกบฏจะล้มล้างเขา และประเทศจีนกลับเข้าสู่สงครามกลางเมืองอีกครั้ง ราชวงค์อันยิ่งใหญ่ที่หวังจะได้อยู่ตลอดกาล กลับได้อยู่เพียง 15 ปี นับเป็นการปกครองที่สั้นที่สุดที่เคยปกครองจีน

ด้วยความมหึมาใหญ่โตและแข็งแรงของกำแพง มันกลับไม่มีประสิทธิภาพนัก ในการป้องกันการรุกรานของเผ่าเร่ร่อนทางเหนือ เป็นที่รู้จักกันในนามทาทา ตามชื่อในสมัยกลางที่แปลว่านรก ชาวจีนกล่าวว่าพวกนี้โหดร้ายผิดมนุษย์ กินเนื้อสุนัขและม้าเป็นอาหาร และกินเลือดจากศัตรูของพวกเขา มีร่างกายแข็งแรง จิตใจเหี้ยมโหด และไม่มีใครเอาชนะได้ในสงคราม หนึ่งในพวกนั้นที่โจมตีกำแพงเมืองจีน คือผู้นำมองโกลที่เหี้ยมหาญ ผู้ซึ่งชื่อของเขามีความหมายเดียวกับความน่ากลัวทั่วอาณาจักรฉินและทั่วโลก เจงกิสข่าน

เป็นเวลากว่าพันปีหลังการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิองค์แรกที่ราชวงค์ต่อมาสร้างกำแพงเพิ่มเติมหรือปล่อยให้มันผุพัง ขึ้นกับความจำเป็นทางการทหารและบรรยากาศทางการเมืองขณะนั้น บางราชวงศ์ เช่นราชวงศ์ฮั่น ซ่อมแซมกำแพงบางส่วน ต่อเติมและสร้างกำแพงของตนเอง ราชวงศ์อื่นเช่นราชวงศ์ถัง ผู้เชื่อมั่นว่ามันเป็นเครื่องป้องกันไร้ประโยชน์และมีค่าดูแลรักษาสูงจึงปล่อยให้มันผุพังไป การล่าสังหารของเผ่าคนเถื่อนดำเนินต่อไปโดยผู้รุกรานที่ประสบชัยชนะส่วนใหญ่ที่ค่อยๆแทรกซึมเข้ามาในวัฒนธรรมจีนทีละน้อย จนกลายเป็นคนจีนมากกว่าคนจีนเอง กำแพงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องความมีอารยธรรมกับพวกป่าเถื่อน แต่ความจริงแล้วกำแพงนั้นทะลุปรุโปร่ง มันถูกข้ามได้อย่างง่ายดายมาก ความคิดที่จะปิดกั้นพรมแดนนั้นไม่มีทางได้ผล ชนเผ่าเร่ร่อนจะหาทางข้ามมาได้เสมอ พวกเขาจะหารอยแตกในกำแพง บางทีคนที่คุมกำแพงก็ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาเฉยๆ หรือแม้กระทั่งในสมัยราชวงศ์หมิง ในยุครุ่งเรืองของการสร้างกำแพง ถ้าพวกนั้นไม่หาทางอ้อมไปก็เข้ามาทางประตูแล้วเดินทางไปถึงกรุงปักกิ่งนั่นเลย

ตำนานกล่าวว่าเจงกิสข่านเกิดขึ้นมาพร้อมกำก้อนเลือดไว้ในมือขวา ซึ่งเป็นลางบอกอนาคตอันนองเลือดของเขา ขณะที่เป็นหนุ่มเขาปราบปรามและรวบรวมก๊กชาวมองโกลต่างๆเข้าด้วยกันและสร้างเป็นกองทัพอันเกรียงไกร และในคริสตศักราช 1211 กองทัพมองโกลของเจงกิสข่านถาโถมเข้าใส่แผ่นดินจีนเหมือนปีศาจร้ายที่หลุดออกจากนรก ข้ามกำแพงเมืองจีนเข้ามาแล้วกระจายกำลังไปทั่วประเทศเหมือนกองทัพตั๊กแตนลงทำลายพืชไร่ พวกเขาเป็นนักรบที่เหี้ยมโหดอย่างเหลือเชื่อ มีทักษะการรบที่เยี่ยมยอด พวกเขายังใช้การทำลายขวัญและกำลังใจ เมื่อพวกเขายึดเมืองใดได้ พวกเขาจะฆ่าทุกคนทิ้ง พวกเขาต้องการให้ทุกคนเห็นว่าถ้ามีการขัดขืน ศัตรูจะต้องถูกฆ่า เจงกิสข่านกล่าวว่า สิ่งที่มนุษย์จะมีได้คือชัยชนะ เอาชนะศัตรู ไล่ฆ่าพวกมัน ปลดทรัพย์สินของพวกมัน ทำให้ครอบครัวของพวกมันต้องหลั่งน้ำตา ขี่ม้าของพวกมันและเสพสมกับเมียและลูกสาวของพวกมัน

ต้องใช้เวลา 60 ปี อันนองเลือดก่อนที่แผ่นดินจีนทั้งหมดจะตกในเงื้อมมือของมองโกลภายใต้การนำของกุ๊บไลข่านผู้เป็นหลานของเจงกิสข่าน เขาสถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิจีนในปี 1271 ชาวมองโกลปกครองประเทศจีนต่อไปเกือบร้อยปี ประเทศจีนภายใต้การปกครองของมองโกลกลายเป็นที่พบปะของคนพลายเชื้อชาติ ระหว่างนี้เองที่มาโคโปโลเดินทางมาประเทศจีน และเป็นที่โต้เถียงกันมายาวนานว่า ทำไมไม่เอ่ยถึงกำแพงเมืองจีนในบันทึกของเขาเลย ความจริงก็คือมันเป็นไปได้ว่าไม่มีกำแพงเมืองจีนตอนที่มาโคโปโลมาเยือนประเทศจีน ระหว่างการปกครองมองโกล กำแพงของแคว้นฉินที่เหลืออยู่ได้ผุพังไปหมดแล้ว ชาวจีนไม่เคยยอมรับการปกครองของมองโกล และพวกเขามองกุ๊บไลข่านว่าเป็นเพียงคนเถื่อน แม้ว่าเขาจะทำให้มาโคโปโลและผู้มาเยือนคนอื่นประทับใจมากก็ตาม การต่อต้านจากฝ่ายกบฏเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ตัดรอนอำนาจของมองโกล จนในที่สุดในปี 1368 ชาวนาจีนคนหนึ่งนำทัพชาวจีนขับไล่มองโกลคนสุดท้ายออกจากประเทศจีนและก่อตั้งราชวงศ์หมิง

ราชวงศ์หมิงเป็นนักสร้างกำแพงที่ขยันที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ถ้าพวกเขาไม่สร้างมันขึ้นมา เราคงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีน สิ่งที่เรารู้ทุกวันนี้ก็คือกำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงของราชวงศ์หมิงแน่ๆ มันแตกต่างจากกำแพงรุ่นก่อนๆ มากเลยทีเดียว การสร้างกำแพงของราชวงศ์หมิงนี้ต้องใช้ช่างอิฐและช่างตัดหินที่เชี่ยวชาญ มันแตกต่างทั้งขนาดและรูปแบบ กำแพงที่สร้างในราชวงศ์หมิงส่วนใหญ่ถูกสร้างบนรากฐานหินแกรนิตยาวถึง 14 ฟุตและหนา 3 หรือ 4 ฟุต ทั้งหมดถูกตัดและจัดวางอย่างแม่นยำเป็นระเบียบ ส่วนตัวกำแพงก็ก่ออิฐที่ทำด้วยมือสูงขึ้นไปถึง 20 ฟุต และมีทางเดินกว้าง 14 ฟุต พื้นทางเดินก็ก่อด้วยอิฐเช่นเดียวกัน ประตูที่ทางทิศตะวันออกที่เมืองชางไห่กวนถูกแต่งตั้งให้เป็นประตูแรกใต้สรวงสวรรค์ ที่ปลายฝั่งตะวันตก พวกเขาสร้างประตูหยกหรือกำแพงกันภัย ชาวหมิงสร้างอนุสรณ์และแผ่นหินสลักไว้มากมายตามทางเพื่อสรรเสริญความปราดเปรื่องและความดีของจักรพรรดิ ชื่อหนึ่งที่ปรากฏอยู่บ่อยครั้งคือชื่อของหว่านลี้ ผู้ครองราชย์สมัยศตวรรษที่ 16 มีส่วนสำคัญต่อการสร้างกำแพงเมืองจีนอย่างมาก จนคนรุ่นต่อมาคิดว่าเขาเป็นผู้สร้างดั้งเดิม แต่ไม่ว่ากำแพงของหว่านลี้จะทรงพลังเพียงใดก็ไม่อาจยับยั้งนักล่าของเผ่าที่แข็งแกร่งจากแมนจูเรียผู้ซึ่งกำลังจ้องมองดินแดนอุดมสมบูรณ์ทางใต้ด้วยความปรารถนา

ความหมกมุ่นเกี่ยวกับกำแพงของชาวหมิงกลายเป็นเกราะป้องกันทางจิตใจต่อพวกมองโกล แต่ในเมื่อแนวป้องกันทางทหารมันไม่ค่อยดีนัก ก่อให้เกิดอำนาจจิตแบบในหนังสตาร์วอร์ว่าบางทีพวกเขาก็ต้องหาทางแม้ว่าจะมีการสูญเสียอย่างมาก หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจของกำแพงก็คือมันสิ้นเปลืองอย่างมากที่จะตรึงกำลังทหารไว้ที่นั่นและคอยส่งเสบียงไปให้พวกเขา มีเรื่องเล่าว่าถ้าต้องขนเกวียนข้าวไปที่กำแพงเมืองจีน 60 เกวียน คุณต้องกินข้าวจากเกวียน 59 เกวียน เหลือเพียง 1 เกวียนที่ขนมาถึง จึงนิยมให้มีทหารอยู่ใกล้กำแพงให้พวกเขาปลูกข้าวเลี้ยงชีพตนเอง แต่คนที่ถูกส่งไปที่นั่นก็ไม่มีความสุขกับมันอย่างมาก พวกเขาต้องถูกส่งไปอยู่ตลอดชีวิต แต่ก็มีบางคนที่ตั้งรกรากได้ พวกเขาพูดภาษาชนเผ่าได้ พวกเขาเข้ากับพวกมองโกลได้ดี

พวกเขาค้าขายกัน ถ้าพวกมองโกลอยากจะเข้ามาในกำแพงที่คนเหล่านี้ควรจะป้องกันมันอยู่ ก็แลกด้วยการติดสินบนเล็กๆน้อยๆ การกระทำเช่นนี้เป็นจุดอ่อนเล็กๆ ที่จะนำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์หมิง พวกคนที่ถูกส่งไปไม่ใช่ชาวนาที่เก่ง แล้วดินแถวนั้นก็ไม่ค่อยดีนัก พวกเขาต้องอดอยาก และเมื่อสิ้นยุคหมิง นิคมทหารก็เริ่มกลายเป็นคนเถื่อนเสียเอง และก็เป็นเพราะคนเหล่านี้ที่ทำให้ชาวแมนจู 150,000 คน เอาชนะคนจีน 150,000,000 คนได้ ชาวแมนจูเข้ายึดปักกิ่งได้ในปี 1644 และปกครองประเทศจีนจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อจักรพรรดิแมนจูคนสุดท้ายเป็นเด็กชายชื่อปูยีถูกล้มล้างในการปฏิวัติในปี 1912 มันเป็นเรื่องน่าอายมากที่ประเทศจีนถูกโจมตีและยึดครองถึงสองครั้งโดยพวกคนเถื่อนทั้งพวกมองโกลและพวกแมนจูที่อยู่นอกกำแพง มันใช้งานไม่ได้ หมาจิ้งจอกหลุดเข้ามาในเล้าไก่แล้ว ทุกอย่างมันหยุดไม่ได้

เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 ต้นศตวรรษที่ 20 กำแพงเมืองจีนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว เมื่อชาวตะวันตกมาเมืองจีนเป็นครั้งแรก พวกเขาประทับใจมาก เมืองมีชีวิตชีวา สิ่งต่างๆรุ่งเรือง ขณะที่ชาวตะวันตกรู้สึกชื่นชมสิ่งก่อสร้างนี้ ชาวจีนเองกลับมองว่ามันเป็นเครื่องเตือนใจของการกดขี่ของระบอบศักดินาและความล้มเหลวทางการทหาร และในพื้นที่ห่างไกล การทำที่พักเป็นเรื่องยากและวัสดุก่อสร้างที่ขาดแคลน พวกชาวนาที่อยู่ใกล้กำแพงจึงสกัดชิ้นส่วนก้อนหินจากกำแพงมาสร้างเป็นบ้าน นั่นแสดงว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจกับมันเลย เมื่อช่วงศตวรรษที่ 30-40 ญี่ปุ่นบุกจีน มีการรบสำคัญหลายครั้งเกิดขึ้นตามแนวกำแพง ต่อมาหลังการปฏิวัติของพวกกลุ่มสังคมนิยมนำโดยประธานเหมาเจ๋อตุงในปี 1949 มีการฟื้นฟูกำแพงสั้นๆและทำในส่วนที่ได้ความเสียหายอย่างหนักจากสงคราม  และต่อมาในสมัยของเติ้งเสี่ยวผิงได้มีการบูรณะกำแพงอีกครั้ง และเขากล่าวว่าขอให้พวกเรารักชาติและช่วยกันบูรณะกำแพงอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง


จัดอันดับ
สยองขวัญ
ประวัติศาสตร์
เมนูอาหาร
สุขภาพ

101 เมนูอาหารญี่ปุ่น


1. มากิซูชิ (Maki-zushi)


มากิซูชิคือข้าวห่อสาหร่าย มีไส้หรือท็อปปิ้งหลากหลาย มีชื่อเรียกตามไส้หรือท็อปปิ้ง เช่น
- กัปปะมากิ (Kappa Maki) คือข้าวห่อสาหร่ายไส้แตงกวาเรียกตามชื่อกัปปะด้วยความเชื่อที่ว่าตัวกัปปะปิศาจในความเชื่อโบราณของญี่ปุ่นนั้นชอบกินแตงกวา
- เท็กกะมากิ (Tekka Maki) คือข้าวห่อสาหร่ายไส้ปลาทูน่าหมักโชยุและมิริน(น้ำส้มหมักของญี่ปุ่น)หั่นเป็นชิ้น
- เนกิโทโร่มากิ (Negitoro Maki) คือข้าวห่อสาหร่ายไส้หรือท็อปปิ้งเป็นปลาทูน่าส่วนท้องสับกับต้นหอม
- ทูน่ามาโย (Tsunamayo) คือข้าวห่อสาหร่ายไส้หรือท็อปปิ้งเป็นปลาทูน่ากับมายองเนส
- คัมเปียวมากิ (Kampyo Maki) คือข้าวห่อสาหร่ายไส้หรือท็อปปิ้งเป็นคัมเปียว (ฟักหรือน้ำเต้าหมักด้วยโชยุและน้ำตาล หั่นเป็นเส้นๆแล้วตากแห้ง)


2. โซบะ (Soba)


โซบะคือเส้นก๋วยเตี๋ยวบัควีทเรียวเล็กเสิร์ฟในน้ำซุปเย็นหรือร้อน ใส่เครื่องหลากหลาย เช่น กุ้งเทมปุระ นารุโตะ(ลูกชิ้นปลาหั่นสไลด์) ต้นหอมซอย ผักภูเขา

3. โซเมน (Somen)


หมี่เย็นเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นเรียวเล็กทำจากข้าวสาลี เสิร์ฟเย็นทานกับซอสทสึยุรสอ่อน เป็นเมนูที่นิยมทานในหน้าร้อน

4. ทาโกะยากิ (Takoyaki)


ทาโกะยากิทำจากแป้งทอดในหลุมขนมครกวางตรงกลางด้วยชิ้นปลาหมึกยักษ์ก่อนปิดด้วยแป้งแล้วหมุนแป้งในหลุมให้เป็นก้อนกลมๆ ลักษณะแป้งด้านนอกจะเหลืองกรอบด้านในจะนุ่มๆหยุ่นๆ เวลาเสิร์ฟนิยมโรยหน้าด้วยซอสทาโกะยากิรสชาติหวานๆเค็มๆ มายองเนส สาหร่ายป่น ปลาคัตสึโอะตากแห้งสไลด์ ทาโกะยากิมีต้นกำเนิดมาจากโอซาก้า สามารถทำได้เองที่บ้าน ประชาชนนิยมทานเป็นอาหารว่างและในงานเทศกาล

5. ข้าวปั้น,โอนิกิริ (Onigiri)


ข้าวปั้นที่นิยมปั้นเป็นรูปสามเหลี่ยม มีไส้หลากหลาย ที่นิยมก็เช่น ไส้ปลาทูน่า ไส้ปลาแซลมอน ไส้บ๊วยดอง (อุเมโบชิ,Umeboshi) แล้วห่อด้วยแผ่นสาหร่าย โอนิกิริมีขายทั่วไปตามคอนวีเนียนสโตร์หรือร้านสะดวกซื้อและราคาไม่แพง

6. โมจิ (Mochi)


โมจิเป็นก้อนแป้งข้าวเหนียว ย่างๆไฟทานกับสาหร่าย น้ำตาลหรือผงคินาโกะ(ผงถั่เหลืองป่น) หรือนิยมใส่โมจิเป็นท็อปปิ้งอาหารต่างๆเช่น ราเม็งหรือพิซซ่า และเป็นส่วนประกอบหลักในขนมญี่ปุ่นหลายชนิดเช่น ดังโกะ โอเซนไซ(โมจิกับถั่วแดงต้ม) ในเวันขึ้นปีใหม่นิยมทำโมจิแบบโบราณคือตำด้วยครกไม้เพื่อฉลองเทศกาล

7. อุด้ง (Udon)


อุด้งเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวแบบเส้นกลมขนาดใหญ่ทำจากแป้งสาลี นิยมเสิร์ฟในน้ำซุปร้อนๆ มีเครื่องเคียงเป็นเทมปุระ เต้าหู้ทอดกรอบ อย่างไรก็ตามมีวิธีการกินและปรุงอุด้งหลากหลายแบบ มีทั้งกินในน้ำซุปแบบเย็น หรือลวกเส้นอุด้งร้อนๆแล้วตอกไข่ดิบลงไปราดโชยุกับต้นหอม แล้วคลุกกินตอนไข่กึ่งสุกกึ่งดิบ หรืออาจจะทานกับวาซาบิก็ได้

8. ชาฮั่ง (Chahan)


ชาฮั่งเป็นคำในภาษาญี่ปุ่นที่ใช้เรียกข้าวผัด ข้าวผัดที่เป็นที่นิยมในญี่ปุ่นจะมีรสอ่อนกว่าข้าวผัดของจีน

9. โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)


ทำจากแป้งที่ผสมด้วยไข่ กะหล่ำปลีซอย ส่วนประกอบอื่นเช่น เนื้อสัตว์ เบคอน อาหารทะเลต่างๆ หรือแม้กระทั่งชีส ตามที่ต้องการ คำว่าโอโคโนมิแปลว่าอะไรก็ได้ที่คุณชอบ ผสมส่วนผสมทั้งหมดแล้วเทแผ่เป็นวงกลมบนกะทะเหล็กแบนร้อน กลับไปมาให้สุก เสร็จแล้วโรยหน้าคล้ายกันกับทาโกะยากิ คือซอสรสออกเค็มหวาน มายองเนส คัตสึโอะบูชิ(ปลาคัตสึโอะสไลด์ตากแห้ง) โอโนริ(สาหร่ายแห้งหั่นเป็นเส้นๆ) เบนิโชกะ(ขิงดอง) ตามใจชอบ

10.คาเรไรสึ, ข้าวหน้าแกงกะหรี่ (Kare Raisu)


แกงกะหรี่ถูกนำเข้ามาตั้งแต่สมัยเมจิ และมีการปรับปรุงรสชาติให้ถูกปากคนญี่ปุ่นคือมีรสอ่อน เผ็ดน้อย แกงกะหรี่ญี่ปุ่นนิยมใส่ผักเช่นแครอท มันฝรั่ง หัวหอม และบางครั้งเสิร์ฟคู่กับหมูชุบเกล็ดขนมปังทอดหรือกุ้งเทมปุระ

11. นิกิริซูชิ (Nigiri Sushi)


เป็นข้าวปั้นซูชิแบบทั่วไปคือข้าวปั้นเป็นก้อนรูปวงรีแล้ววางด้านบนด้วยเนื้อปลาหั่นสไลด์หรืออาหารทะเลต่างๆ เช่นปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาหมึกยักษ์ ไข่หวาน กุ้ง ปลาไหล

12. ยากิโตริ (Yakitori)


เป็นเมนูไก่เสียบไม้ปิ้ง ทานเป็นกับแกล้มเบียร์ โดยทั่วไปจะใช้ส่วนประกอบต่างๆของไก่ ในบางร้านอาจจะมีเนื้อหมูบ้าง ใช้ส่วนประกอบต่างของไก่เช่น เนื้อ หนัง ตับ ไส้ ปรุงรสด้วยเกลือหรือซอสโชยุตามแต่ละสูตรของร้าน

13. อิคูระ (Ikura)


อิคูระหรือไข่ปลาแซลมอนมีสีส้มสด แวววาว รูปร่างกลม ขนาดค่อนข้างใหญ่ถ้าเทียบกับไข่ปลาทั่วไป ส่วนใหญ่ใช้วางเป็นหน้าซูชิหรือข้าวปั้น โดยแช่ซอสโชยุเพื่อปรุงรสชาติ ส่วนใหญ่ทานดิบ

14. ซาชิมิ (Sashimi)


ซาชิมิหมายถึงอาหารทะเล หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ ต้องสดใหม่ คุณภาพสูง เพราะจะทานแบบดิบๆ โดยแล่เป็นแผ่นบางๆ ให้เคี้ยวง่าย จิ้มกับโชยุและวาซาบิ ในญี่ปุ่นการจัดเรียงซาชิมิในจานเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่เชฟให้ความสำคัญ เพื่อให้ดูน่าทาน เพราะอาหารดิบๆถ้าหั่นไม่สวยหรือจัดวางไม่เรียบร้อยจะทานยากและดูน่าพะอืดพะอมมากกว่าน่ากิน

15. ยากินิคุ (Yakiniku)
ยากินิคุใช้เรียกอาหารปิ้งย่างหรือบาร์บีคิวตามสไตล์ญี่ปุ่น เวลากินหรือทานจะเป็นแบบนั่งล้อมโต๊ะอาหารที่มีเตาย่างตรงกลาง ร้านยากินิคุเหมาะสำหรับคนที่ต้องการสังสรรค์กับเพื่อนๆและดื่มเบียร์ เพราะย่างไป กินไป คุยกันไปเพลินดี

16. โอกินาว่าโซบะ (Okinawa soba)
โอกินาว่าโซบะ จะใช้เส้นก๋วยเตี๋ยวแบบเส้นหนาทำจากแป้งสาลี น้ำซุปรสค่อนข้างเข้ม วางเนื้อหมูหรือหอยเชลล์ ลูกชิ้นปลาเป็นเครื่องเคียง โรยหน้าด้วยต้นหอมซอยกับขิงดองสีแดงสด

17. โอเด้ง (Oden)


เป็นเมนูหนึ่งที่ใช้ส่วนประกอบหลากหลายต้มอยู่ในน้ำซุปที่ปรุงรสอ่อนๆด้วยโชยุหรือมิโสะ(เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น) ส่วนประกอบที่นิยมในโอเด้งได้แก่ หัวไชเท้า ไข่ต้ม ก้อนบุกคอนเนียคุ ลูกชิ้นปลา แครอท กะหล่ำปลีสอดไส้ เต้าหู้ จิคุวะ(ลูกชิ้นปลาแบบแท่งหลอดยาว) นิยมทานในหน้าหนาวและถือเป็นเมนูกับแกล้มในร้านเบียร์ ในร้านโอเด้งที่มีชื่อเสียงบางร้านในโตเกียวออกมายืนยันว่าไม่เคยเปลี่ยนน้ำซุปเก่าออกหมดเป็นเวลาถึง 60 ปี

18. เมนไทโกะ (Mentaiko)


เมนไทโกะเป็นไข่ปลาพอลล็อค(Pollock) ที่นำไปหมักด้วยโชยุ หรือพริก แล้วแต่สูตรของผู้ผลิต ทานเป็นไส้ข้าวปั้นหรือทานเดี่ยว มีรสชาติเข้มข้นเด่นเป็นเอกลักษณ์  ชาวญี่ปุ่นเองหลายคนก็ชอบและไม่ชอบในรสชาติของมัน เป็นที่นิยมทั่วไปถึงขนาดทำเป็นรสมันฝรั่งทอด

19. โอชะสุเกะ (Ochazuke)


เป็นเมนูที่ทานร้อนๆ โดยการรินน้ำชาในข้าว วางท็อปปิ้งด้วยของดองเค็มต่างๆเช่น ผักดอง สาหร่าย งา บ๊วยดอง อาหารทะเลดอง ตามใจชอบ อาจเสริมรสด้วยวาซาบิก็ได้

20. เมล่อนปัง (Melon Pan)


ขนมปังที่ใช้เทคนิคบางอย่างในการอบทำให้มีผิวหน้าแตกลายเหมือนกับผลเมล่อน แต่บางร้านใช้น้ำและเนื้อเมล่อนแท้ในการปรุงกลิ่นและรสด้วย มีขายทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อ

21. อันปัง (Anpan)


ขนมปังของหวานที่มีมาตั้งแต่สมัยเมจิ นิยมสอดไส้ด้วยถั่วแดงกวน

22. ข้าวหน้าไข่ออมเล็ต, ออมไรสึ (Omu Raisu)


เป็นเมนูที่หาทาได้ทั่วไปตามร้าน ส่วนใหญ่จะทำเป็นข้าวผัดใส่ไก่แล้ววางด้านบนหรือห่อด้วยไข่ออมเล็ตทอดเป็นก้อนกลมๆรีๆ ราดด้วยซอสมะเขือเทศ แกงกะหรี่  ซอสฮายาชิ หรือเดมิกาซอส

23. Chanpuru


เป็นผัดมะระสไตล์โอกินาว่า ที่ใส่ทั้งมะระ หัวหอมใหญ่ แฮม เต้าหู้และไข่

24. จัมปง Champon


จัมปงคือเมนูก๋วยเตี๋ยวที่มีต้นกำเนิดจากนางาซากิ มีความหลากหลายใส่ทั้งเนื้อสัตว์ ผัก อาหารทะเล ซึ่งจัมปงในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าการผสมผสาน คิดค้นครั้งแรกโดยพ่อครัวชาวจีน มีรสชาติค่อนข้างมันเพราะใส่มันหมู

25. ฮายาชิไรซ์ (Hayashi rice)


ฮายาชิเป็นเมนูที่ได้รับวัฒนธรรมจากตะวันตก คล้ายสตูเนื้อ แคร็อท เห็ด และที่สำคัญเดมิกาซอสที่มีส่วนผสมของไวน์ ต้มเคี่ยวจนงวดและเปื่อย ราดบนข้าว

26. Katsu-sando
แซนด์วิชหมูทอดที่ใส่ซอสหวานอมเปรี้ยวแบบวูสเตอร์ซอส

27. เทมากิ (Temaki)


ซูชิโรลที่ห่อด้วยแผ่นสาหร่าย ทำเป็นรูปร่างคล้ายไอศครีมโคน นิยมทานด้วยมือเพราะทานด้วยตะเกียบจะไม่ถนัด

28. ทงคัตสึ (Tonkatsu)


เนื้อหมูหั่นแป็นแผ่นแบนชุบแป้งหรือเกล็ดขนมปังทอด นิยมรับประทานเป็นกับข้าวเคียงด้วยกะหล่ำปลีซอยราดด้วยซอสหวานที่เรียกว่าโซสุซอส

29. จิราชิ (Chirashi)


เรียกได้ว่าเป็นข้าวหน้าซูชิรวมแบบใส่เป็นชามก็ว่าได้ ใส่หน้าของทะเลหลายอย่างทั้งแบบดิบและปรุงสุก ได้แก่ไข่ปลาแซลมอน ไข่หวานย่าง ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาอาจิ ไข่หอยเม่น  ข้าวหน้าปลาดิบรวมนี้นิยมทานกันในเทศกาลเด็กผู้หญิงในเดือนมีนาคมอีกด้วย

30. มิโสะซุป (Miso soup)
เป็นซุปที่ปรุงรสด้วยมิโสะ สาหร่ายคอมบุ ปลาโอตากแห้ง เต้าหู้หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ต้นหอมซอย เสิร์ฟร้อนๆ เป็นครื่องเคียงทานกับข้าวหน้าต่างๆ บางคนก็ทานข้าวสวยกับมิโสะซุป เสิร์ฟโดยไม่มีช้อนให้คือให้ซดน้ำซุปจากชามเลย

31. คุตชิคัตสึ (Kushikatsu)


อาหารชุบแป้งหรือเกล็ดขนมปังทอด ใช้วัตถุดิบหลากหลาย ตั้งแต่ผักไปจนถึงเนื้อสัตว์ต่างๆ นิยมเสิร์ฟแบบเสียบไม้ ทานเป็นกับแกล้มเบียร์ จิ้มซอสหวานแบบทงคัตสึซอส บางร้านก็จะมีเป็นซอสมิโสะข้นๆ

32. ชาบูชาบู (Shabu-shabu)


เป็นอาหารญี่ปุ่นแบบต้มหรือลวกในหม้อน้ำซุปร้อนที่วางกลางโต๊ะแบบล้อมวงกินกัน ส่วนประกอบที่นำมาต้มก็เป็นพวกเนื้อสัตว์สไลด์เป็นแผ่นบางๆ ผักต่างๆ อาหารทะเล เต้าหู้ นิยมทานในหน้าหนาวเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย

33. โซนิ (Zoni)


โซนิเป็นอาหารฉลองปีใหม่ของชาวญี่ปุ่น เป็นน้ำซุปใสใส่ก้อนโมจิ และผักตากแห้งต่างๆ เมนูนี้กำเนิดมาจากเหล่าซามูไรที่ทำอาหารนี้ขึ้นในสนามรบ เพราะส่วนผสมเหล่านี้ง่ายในการพกพาและเก็บรักษา โซนิมีแคลอรี่สูงด้วยพลังงานจากก้อนโมจิซึ่งเหมาะมากกับซามูไรในศึกสงคราม แต่ส่วนประกอบในปัจจุบันนิยมใส่เป็นผักสด อาจมีเพิ่ม ไก่ ปลา ตามใจชอบ

34. คาราเกะ (Karaage)


เป็นเมนูไก่ชิ้นพอดีคำหมักด้วยโชยุ กระเทียม ขิง แล้วชุบแป้งทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน

35. Agedashi dofu


เต้าหู้ทอดใส่ในน้ำซุป โชยุ มิริน โรยด้วยต้นหอม

36. Edamame


ฝักถั่วแระญี่ปุ่นต้มหรือนึ่งโรยเกลือเล็กน้อย ทานเป็นกับแกล้มเบียร์

37. Tamago kake gohan


ข้าวราดไข่ดิบ เหยาะโชยุนิดหน่อยโรยต้นหอมซอย

38. ไข่ตุ๋นญี่ปุ่น (Chawan mushi)


ตีไข่ผสมน้ำซุป ใส่เห็ดหอมหรือชิ้นปลาไว้ที่ด้านล่าง นึ่งไฟไม่แรงทำให้เนื้อไข่ตุ๋นเนียนเรียบสวย ทานเป็นของเรียกน้ำย่อยหรือเคียงกับข้าวหน้าต่างๆ

39. โคร้อกเกะ, Korokke (croquette)


แปลงมาจากอาหาร Croquett ของฝรั่งเศส เป็นเนื้อสัตว์และผักต่างๆหั่นเป็นชิ้นเล็กๆผสมมันฝรั่งนึ่งบดปั้นเป็นก้อนแล้วชุบเกล็ดขนมปังทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน ทานกับซอสทงคัตสึ

40. ข้าวหน้าปลาไหลย่าง (Unadon)


ปลาไหลทั้งตัวแล่แบบแผ่ชิ้นแบนๆ ทาซอสออกหวานเค็มแล้วนำไปย่างออกเกรียมเล็กน้อยวางโปะบนข้าว บางที่อาจเสิร์ฟพร้อมน้ำชาเพื่อทานแบบโอชะสุเกะ

41. บ๊วยดอง (Umeboshi)


มีรสจัดทั้งเปรี้ยวและเค็ม ส่วนใหญ่ทานกับข้าว บางคนทานเป็นข้าวกล่องอาหารกลางวัน หรือใสเป็นไส้ในข้าวปั้น

42. ราเม็ง (Ramen)


ราเม็งเป็นก๋วยเตี๋ยวของคนญี่ปุ่นที่เน้นรสชาติของน้ำซุปที่เข้มข้น อาจทำจากกระดูกหมู ไก่ หรือจากปลา ปรุงรสด้วยโชยุ มิโสะ หรือเกลือ มีราเม็งหลายประเภทมากในญี่ปุ่นมีชื่อเรียกหลายอย่างตามวัตถุดิบหรือเครื่องเคียง ใส่หมูชาชู ไข่ต้มยางมะตูม สาหร่าย และต้นหอมซอยหรือตามแต่เชฟจะสร้างสรรค์

43. Himono


ปลาตากแห้ง

44. ผักดองญี่ปุ่น (Tsukemono)


มีหลายอย่าง รับประทานเป็นเครื่องเคียงหรือเป็นกับข้าว มีสีสันสดใส มีชื่อเรียกหลายอย่างเช่น เบนิโชกะ(ขิงดอง) เบ็ตตะระสึเกะ(หัวแรดิชดอง) การิ(ขิงอ่อนดองหวาน)  และนาสึคาระชิสึเกะ(มะเขือม่วงดอง)

45. ขนมไทยากิ (Taiyaki)


เป็นขนมญี่ปุ่นยอดนิยมที่ทำกันในเทศกาลต่างๆ เป็นแป้งรูปร่างเหมือนปลาไส้เป็นถั่วแดงกวนออกหวานๆ

46. Sunomono


อาหารทะเลหรือผักที่หมักในน้ำส้มสายชู โดยทั่วไปที่นำมาหมักได้แก่ ปู แตงกวา วากาเมะ

47. Ohitashi


ผักสีเขียวต้มอย่างเช่นผักโขม เสิร์ฟเย็นอาจโรยด้วยงาขาวคั่ว

48. Motoyaki


อาหารทะเลโรยหน้าด้วยมายองเนสแล้วนำไปอบ

49. Osechi


เป็นอาหารชุดที่เตรียมทำกันในการฉลองวันขึ้นปีใหม่

50. ข้าวหน้าไข่กับไก่, โอยาโกะด้ง (Oyakodon)


เป็นข้าวราดหน้าที่มีส่วนผสมของไข่กับไก่ เป็นที่มาของชื่อโอยาโกะที่หมายถึงแม่กับลูก

51. Hiyayakko


เต้าหู้เย็นโรยหน้าด้วยผิมส้มยูสึ ขิง ปลาโอสไลด์ตากแห้ง และดอกเมียวกะ

52. เทมปุระ (Tempura)


อาหารชุบแป้งทอด แป้งจะค่อนข้างนิ่ม ไม่กรอบเหมือนทงคัตสึหรือคุตชิคัตสึ

53. Ankimo


ตับปลามั๊งฟิชนึ่ง เป็นอาหารญี่ปุ่นชนิดหนึ่งที่ละเอียดละอ่อนและประณีตในการปรุง

54. Yakizakana


ปลาสดชนิดต่างๆย่างไฟ

55. Higashi


ขนมญี่ปุ่นชิ้นเล็กๆ เป็นลูกกวาดที่ทำเป็นรูปร่างและสีสันต่างๆ ทำจากน้ำตาลล้วนๆ หรือแป้ง

56. ข้าวหน้าเนื้อ (Gyudon)


เป็นเมนูข้าวราดหน้าด้วยเนื้อหั่นชิ้นบางๆต้มกับหัวหอมใหญ่ปรุงรสด้วยโชยุ น้ำตาล เวลาเสริ์ฟอาจโรยหน้าด้วยไข่ดิบ ขิงดอง

57. Kushiyaki
เป็นอาหารที่เหมือนยากิโตริแต่ใช้เนื้อแทน รวมทั้งของเสียบไม้ชุปแป้งทอดกรอบเช่นเต้าหู้ พริกหยวก หน่อไม้ฝรั่งพันเบคอน

58. Hanabira mochi
ฮานาบิระโมจิ เป็นโมจิขนมหวานที่เป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น สอดไส้หวานด้วยส่วนประกอบได้หลายชนิด จะทานกันในเทศกาลสำคัญต่างเช่นในวันขึ้นปีใหม่

59. Imagawayaki
ขนมแป้งโดสอดไส้ถั่วแดงทอด

60. Tecchiri
หม้อไฟปลาปักเป้ากับผักต่างๆ เป็นอาหารจากเมืองโอซาก้า

61. Manju
ขนมมันจูเป็นขนมหวานญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง เป็นขนมแป้งสอดไส้ถั่วแดงกวน นำไปนึ่งอบหรือย่าง

62. Sukiyaki


สุกียากี้ของญี่ปุ่นเป็นหม้อไฟเนื้อหั่นสไลด์บาง หัวหอมใหญ่ เต้าหู้ ต้มในน้ำซุปออกหวานๆ (โชยุ น้ำตาล มิริน) ส่วนประกอบอื่นๆที่ใส่ก็เป็นพวกผักใบเขียวต่างๆ รวมทั้งเส้นอุด้ง สุกียากี้จะทานกับข้าว ทานโดยจิ้มไข่ดิบก่อนแล้วทานกับข้าว และเหมือนกับอาหารหม้อไฟอื่นๆที่นิยมทานในหน้าหนาว


เรื่องราวน่ารู้เรียบเรียงจากสารคดีคุณภาพในรูปแบบบทความ
กดถูกใจแฟนเพจเพื่อติดตามและอัพเดตบทความใหม่ๆ คลิกเลย