ลดน้ำหนักด้วยถั่ววิเศษ

ลดน้ำหนักด้วยถั่ววิเศษ
ถั่วเป็นอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกล่าวคือเป็นอาหารที่ประกอบไปด้วยกรดโฟลิก ซึ่งมีผลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง มีวิตามินดี ซึ่งดีต่อกระดูกและฟัน มีไฟเบอร์ ที่มีส่วนช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และอิ่มนานขึ้น มีแมกนีเซียม ที่มีส่วนช่วยเสริมการควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทั้งยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทำได้ช้าลง ทำให้เรามีอัตราการเผาผลาญที่ดีขึ้นตลอดทั้งวัน และยังมีงานวิจัยอื่นๆที่ระบุว่าถั่วนั้นมีประโยชน์ในแง่ของการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ และการลดคอเลสเตอรอลในเลือดอีกด้วย

กล่าวได้ว่าการรับประทานถั่วนั้นให้ประโยชน์ 2 ต่อ นอกจากจะให้พลังงานกับร่างกายแล้ว ยังมีคนไกลที่ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักของเราเราท่านท่านนั่นเอง

แต่ไม่ใช่รู้ว่ารับประทานถั่วแล้วผอมมีประโยชน์มากก็เลยรีบรับประทานกันใหญ่นะคะ ให้ขีดเส้นใต้เน้นย้ำเอาไว้เลยว่าการรับประทานถั่วเพื่อให้เกิดกลไกที่ดีต่อการควบคุมน้ำหนักนั้นจำเป็นที่จะต้องเลือกชนิดของถั่วที่รับประทาน โดยเลือกถั่วชนิดที่ดีและรับประทานในปริมาณที่จำกัดเท่านั้น ที่นี้เรามาดูกันว่าถั่วชนิดไหนดี ดีปานกลาง และค่อนข้างไม่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพ จึงขอจำแนกเป็น 3 กลุ่มหลักๆดังนี้

เจอกลุ่มนี้เมื่อไหร่ให้เข้าใกล้ได้เลยเป็นถั่วกลุ่มที่ดีที่สุดสามารถรับประทานได้ 3-5 หน่วยบริโภคต่อสัปดาห์
1. อัลมอนด์ หน่วยบริโภคละ 12 เมล็ด ให้พลังงาน 80 แคลอรี่ ไขมัน 70 กรัม มีโปรตีนสูง มีแมกนีเซียม วิตามินอี และแคลเซียม
2. วอลนัท หน่วยบริโภคละ 7 เมล็ด ให้พลังงาน 90 แคลอรี่ ไขมัน 9 กรัม มีกรดไขมันจำเป็น และมีโอเมก้า 3
3. แคชชูนัท หน่วยบริโภคละ 10 เมล็ด ให้พลังงาน 80 แคลอรี่ ไขมัน 6 กรัม มีทองแดง แมกนีเซียม และธาตุเหล็ก
4. ฮาเซลนัท หน่วยบริโภคละ 10 เมล็ด ให้พลังงาน 85 แคลอรี่ ไขมัน 8 กรัม มีวิตามินอี ไฟเบอร์และธาตุเหล็ก

กลุ่มรับประทานได้เป็นดี เป็นถั่วกลุ่มที่ดีสำหรับสุขภาพ ถึงจะไม่ดีที่สุดแต่ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพพอสมควร สามารถรับประทานได้ 3-5 หน่วยบริโภคต่อสัปดาห์

1. ถั่วลิสง หน่วยบริโภคละ 20 เมล็ด ให้พลังงาน 80 แคลอรี่ไขมัน 7 กรัม มีโปรตีนสูง มีแมกนีเซียม โฟเลต และธาตุเหล็ก
2. พีแคน หน่วยบริโภคละ 10 เมล็ด ให้พลังงาน 93 แคลอรี่ไขมัน 10.2 กรัม ไฟเบอร์ แร่ธาตุทองแดงและสังกะสี
3. พิสตาชิโอ หน่วยบริโภคร 23 เมล็ด ให้พลังงาน 78 แคลอรี่ ไขมัน 6.3 กรัม มีโพแทสเซียมไฟเบอร์และโปรตีน

ถั่วกลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องรับประทาน เนื่องจากให้พลังงานค่อนข้างสูง จึงไม่เป็นผลดีนักต่อผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
1. แมคคาเดเมีย หน่วยบริโภคละ 5 เมล็ด ให้พลังงาน 102 แคลอรี่ ไขมัน 10.5 กรัม ไขมันสูงและพลังงานสูงมากเกินไป
2. เชสนัท หน่วยบริโภคละ 2 เมล็ด ให้พลังงาน 55 แคลอรี่ ไขมัน 0.5 กรัม เป็นถั่วที่มีโฟเลตเล็กน้อย แต่ก็เป็นถั่วที่ไม่มีประโยชน์นักในแง่ของการป้องกันความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

เมื่ออ่านข้อมูลแล้วถั่วมีประโยชน์ 2 ต่อขณะนี้เราจึงหันมารับประทานถั่วกลุ่มดีเพื่อสุขภาพและควบคุมน้ำหนักของเรากันนะคะ

8 ขั้นตอนเพื่อหัวใจที่แข็งแรง

8 ขั้นตอนเพื่อหัวใจที่แข็งแรง
ปัจจุบันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆของประชากรไทย ในบรรดาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคในกลุ่มนี้ พฤติกรรมการบริโภคอาหารจัดเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งการที่นักวิชาการให้ความสนใจกับเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นสิ่งที่ปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขได้ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรค ไม่เหมือนกับปัจจัยบางอย่าง เช่น พันธุกรรม เป็นต้น จึงขอยกตัวอย่างขั้นตอนการปฏิบัติตัว ที่ดูจะไม่ยากนัก สำหรับการปกป้องหัวใจให้ห่างไกลจากโรคมาฝากกัน

1. จำกัดการกินไขมันที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพและคอเลสเตอรอล
ขั้นตอนแรกจัดว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะการได้รับไขมันอิ่มตัว ไขมันชนิดทรานส์ และคอเลสเตอรอลในปริมาณมาก เป็นต้นเหตุของการเกิดหลอดเลือดอุดตันนำไปสู่โรคหัวใจ นักโภชนาการจึงแนะนำให้จำกัดการได้รับไขมันเหล่านี้ ด้วยวิธีการปฏิบัติอย่างง่ายๆ คือ ลดการบริโภคไขมันที่มีลักษณะกึ่งแข็งเช่น เนย มาการีน และเนยขาว ไขมันทุกชนิดที่เป็นไขมันสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันหมู เนย มันหมู มันไก่ เพราะเป็นแหล่งที่สำคัญของไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล บางอย่างอาจจะเป็นแหล่ง ของไขมันทรานส์ด้วย สังเกตได้จากสลาก ถ้าเป็นไขมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน มักจะใช้ในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น คุกกี้ แครกเกอร์ เป็นต้น

2. เลือกกินอาหารโปรตีนที่มีไขมันต่ำ
อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนที่เราบริโภคกันทั่วไปคือ เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เป็นธรรมดาที่เนื้อติดมันจะนุ่มและให้กลิ่นรสที่ดี แต่ไขมันจากสัตว์เป็นแหล่งของไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล จึงควรเลือกกินเนื้อส่วนที่ไม่ติดมัน ต้องลดพวกขาหมู หมูสามชั้น หมูกรอบ หนังไก่ หนังเป็ด ตลอดจนไส้กรอก เบคอน เครื่องใน เรื่องดื่มนมและนมเปรี้ยวหรือผลิตภัณฑ์นมที่ปราศจากไขมัน (หรือไขมันต่ำก็ยังดี) ไข่แดงก็อยากกินบ่อยเกินไปสำหรับผู้ใหญ่ เพราะคอเลสเตอรอลสูง ทั้งเรื่องอื่นที่น่าสนใจคือ ปลา เต้าหู้ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองหรือถั่วอื่นๆที่มีไขมันต่ำ

3. กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น
ข้อนี้คงไม่ต้องบรรยายมาก เพราะเราก็คุยกันเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว ผักผลไม้นั้นนอกจากแทบจะปราศจากไขมันแล้วยังให้วิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารที่มีประโยชน์อื่นๆ เพียงแต่อยากราดสลัดครีมจนชุ่ม หรือกินผักผลไม้ที่ผ่านการทอด เช่น เฟร้นฟราย กล้วยแขก มันทอด มากจนเกินไป

4. เลือกธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี
ข้าวกล่องและขนมปังโฮลวีต เป็นตัวเลือกที่ให้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาวและขนมปังขาว ใยอาหารและสารอาหารอื่นๆ ในธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี มีผลต่อการควบคุมความดันโลหิต และลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

5. ลดเกลือในอาหาร
ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าการกินลดเค็ม ซึ่งเกิดจากเกลือโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกงที่มีอยู่ในอาหาร จนมากไปนั้น เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตและโรคหัวใจ เพราะฉะนั้นควรจะต้องเพลาเพลาลงไปบ้าง หัดเติมเครื่องปรุงรสเค็มให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็น เกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส ให้ชิมก่อนปรุงและหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด

6. ปรับปริมาณการกิน
ปัญหาใหญ่อันดับหนึ่งของหลายๆประเทศที่มีปัญหาโรคอ้วนและโรคเรื้อรังทั้งหลายคือการกินที่เกินพอดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่เสิร์ฟในร้านอาหารหรือภัตตาคาร บางครั้งจะให้ปริมาณมากหรือเชิญชวนให้เพิ่มขนาด เพิ่มนั่นเพิ่มนี่เพื่อให้ดูเหมือนว่าคุ้มราคา เราต้องรู้จักประมาณการ ให้กินแต่พออิ่ม เลือกปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าหากเป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ควรหยุดเมื่อเริ่มรู้สึกอิ่ม

7. วางแผนล่วงหน้าในการบริโภคอาหารแต่ละวัน
ข้อนี้อาจจะยากสักหน่อยสำหรับคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีชีวิตแบบเร่งรีบ แต่อย่างน้อยก็ขอให้กินอย่างมีสติ ในแต่ละวันควรจะกินให้ได้ครบ 5 หมู่

8. ให้รางวัลตัวเองเป็นครั้งคราว
สุดท้ายแล้วอย่าเคร่งเครียดจนเกินไป อาหารมันก็กินไม่ได้ หวานไปเค็มไปก็ไม่ดี ชีวิตนี้ช่างไม่มีรสชาติ คงไม่ต้องถึงขนาดนั้น ขอเพียงให้ในเวลาส่วนใหญ่เรากินอาหารให้ถูกหลัก กินของที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพ บางครั้งบางคราวเราสามารถให้รางวัลกับตัวเองบ้าง แต่อย่าใช้เป็นข้ออ้างในการละเลย การมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดี

10 สมุนไพรรักษาโรคไต

10 สมุนไพรรักษาโรคไต
สมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคไตช่วยฟอกเลือดมีอะไรบ้างมาดูกัน สมุนไพรรักษาโรคไตคงไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้วที่คุณจะสามารถแบ่งเบาภาระในการทำงานของไตรวมไปถึงการฟอกเลือดด้วยตัวคุณเองก็สามารถทำได้ไม่ยากเลยเพื่อให้ไตของคุณอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงตลอดเวลา สมุนไพรที่แนะนำทั้ง 10 ชนิดนี้ส่วนหนึ่งได้มาจากหนังสือสุดยอดอาหารและสมุนไพรป้องกันไตเสื่อมที่ควรจะมีเอาไว้ติดบ้านเรือนเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมากจนถึงผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกายและอยากจะป้องกันโรคไตให้กับตน

สมุนไพรรักษาโรคไต
1. กระวาน
กระวานช่วยรักษาโรคไต ช่วยในการกระจายเลือดแพทย์แผนไทยจะใช้กระวานเป็นยาช่วยในการขับลม ช่วยกระจายเลือดและช่วยขับพิษเสียออกจากกระแสเลือดได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะสามารถนำทุกส่วนของกระวานมาทำการต้มรวมกัน เพราะแต่ละส่วนของกระวานจะมีทั้งข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันไปโดยที่กันนำทุกส่วนมาต้มนั้นจะช่วยเสริมข้อด้อยและข้อดีในส่วนที่ขาดให้แก่กันนั่นเองหลังจากที่นำกระวานมาต้มรวมกันจนได้ที่แล้วก็สามารถนำน้ำกระวานที่ต้มเสร็จมาดื่มคล้ายๆกับการดื่มชาทั่วไป โดยหากดื่มเป็นประจำจะช่วยบำรุงไตในทางอ้อมเพราะจะสามารถช่วยลดปริมาณของเสียในเลือดได้ดี เป็นผลดีที่ทำให้ไตไม่ต้องทำงานหนักมาก ถ้าไม่มีผลแห้งก็ใช้แก่นของต้นกระวานหรือใบแก่ที่ตากแห้งแล้วแทนผลแห้งได้ตัวยาจะเข้มข้นมากเท่ากับผลแห้งควรจะดื่มวันเว้นวันหรือน้อยกว่านั้น

2. สมุนไพรล้างไต เห็ดหลินจือ
สมุนไพรล้างไต เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าเห็ดหลินจือ มีคุณค่าสูงมากในทางสมุนไพรทั้งในศาสตร์แพทย์แผนจีนและแผนไทยในคัมภีร์โบราณ เซนหลุง  และคัมภีร์ เสินหนงเปินเฉา ที่เป็นตำราอันเก่าแก่ที่สุดของแพทย์แผนจีน ได้เขียนไว้ว่า เห็ดหลินจือเป็นเทพเจ้าแห่งชีวิต และได้ยกย่องให้เห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่ดีที่สุดนั่นเอง เป็นที่คาดหวังกันไว้ว่า เห็ดหลินจือจะสามารถบรรเทา หรือรักษาโรคไตเรื้อรังได้ โดยที่อาจารย์คณะแพทย์ศาสตร์จุฬา ได้นำสรรพคุณของเห็ดหลินจือมาทดลองรักษาผู้ป่วยโรคไต ปรากฏว่าช่วยลดปริมาณไข่ขาวในปัสสาวะได้ และยังสามารถช่วยชะลออาการไตเสื่อมได้ดียิ่งปัญหาของผู้ป่วยโรคไตคือจะมีสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่อยู่ในเลือดสูงในขณะที่สารต้านการอักเสบจะลดต่ำลง จากการศึกษาดังกล่าวพบว่าเห็ดหลินจือช่วยลดอาการอักเสบของเนื้อเยื่อในร่างกายได้เป็นอย่างดี ในตำราแพทย์แผนไทยเองก็ได้มีการนำเห็ดหลินจือมาใช้เป็นยา ในการช่วยขับปัสสาวะมานานมากแล้ว โดยจะนำเห็ดหลินจือมาใช้ต้มกับน้ำสะอาด ทำเป็นยาหม้อไว้ดื่ม เพื่อช่วยล้างพิษที่ตกค้างอยู่ในไตออกและยังช่วยในการขับปัสสาวะใช้เป็นยาบำรุงไตขนานเอกเลยทีเดียว

3. สมุนไพรบำรุงไต กระเจี๊ยบแดง
สมุนไพรบำรุงไตกระเจี๊ยบแดงที่นำมาใช้เป็นสมุนไพรฟอกเลือดบำรุงไตโดยเน้นไปที่ดอกสีแดงสดดอกกระเจี๊ยบแดงสามารถหาซื้อได้ไม่ยากราคาก็ไม่แพง กระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณทางสมุนไพรสูงมาก นำดอกกระเจี๊ยบแห้งชงกับน้ำร้อนดื่มจะช่วยแก้กระหายได้อย่างดีมีการนิยมนำกระเจี๊ยบแดงใช้เป็นยาบำรุงร่างกายช่วยขับปัสสาวะบำรุงเลือดแก้โรคนิ่วในไตแก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ละลายไขมันในเส้นเลือดช่วยขับเสมหะและขับเมือกในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก

4. สมุนไพรงาขาว
นำงาขาวมาบดต้มกับน้ำใช้ดื่มเป็นยาบำรุงร่างกาย โดยมีวิธีการทำง่ายๆโดยใช้ ขิงแก่และหน้าขาว 1 หยิบมือ นำมาบดในครกโดยให้งาขาวแตกละเอียดนำส่วนผสมมาต้มกับน้ำสะอาดประมาณ 300 ซีซี หรือละลายกับน้ำร้อนประมาณ 250 ซีซี ใช้ดื่มเพื่อช่วยบำรุงร่างกายช่วยในการขับเลือดลมช่วยขยายหลอดเลือด อันจะทำให้เลือดลมเดินทางสะดวกมากขึ้น ทั้งยังช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือดลดการดูดซึมน้ำตาลได้ดีช่วยขับไอเย็นออกจากร่างกาย เป็นผลทำให้อวัยวะต่างๆสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทีเดียว ข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไตควรจะดื่มน้ำงาขาวบ่อยๆจะช่วยลดภาระการกำจัดของเสีย ส่วนขิงจะดูแลการทำงานของไตได้มาก เพราะจะช่วยในการขับเลือดเสีย ตลอดจนขับพิษที่อยู่ในเลือด อันจะเป็นการทำความสะอาดเลือดได้ในเบื้องต้น ช่วยให้ไตทำงานน้อยลง หมายถึงไตของผู้ป่วยก็จะสามารถชะลอการเสื่อมได้เป็นอย่างดียิ่ง

5. สมุนไพรรักษาโรคไต ใบบัวบก
จากการศึกษาค้นคว้าพบว่าสมุนไพรใบบัวบกนั้นมีประโยชน์มากส่งผลโดยตรงสำหรับผู้ป่วยโรคไตเพราะในใบบัวบกนั้นพบว่ามีสารสำคัญหลายอย่างที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบโลหิตโดยตรงอาทิเช่น ไตรเตอพีนอยด์ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง Collagen และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังหลอดเลือดอีกด้วย ช่วยให้ผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น และยังสามารถช่วยลดความดันโลหิต มีฤทธิ์ช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือดฝอยแตกได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นน้ำใบบัวบกจึงมีสรรพคุณในการช่วยชะลอการเสื่อมของไต ผู้ที่ดื่มน้ำใบบัวบกนั้นนอกจากจะไม่เครียดแล้วยังสามารถช่วยในการขยายหลอดเลือด ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนออกซิเจนในเส้นเลือดฝอยเกิดเพิ่มมากขึ้น ช่วยให้ร่างกายจับออกซิเจนอิสระได้เพิ่มมากขึ้น ช่วยให้เลือดสะอาดมากขึ้นเป็นการฟอกเลือดไปด้วยในตัว

6. สมุนไพรบำรุงไต กระชาย
ให้นำเหง้าของกระชายมาปั่นกับน้ำสะอาด ปั่นให้ละเอียดแล้วนำน้ำๆที่ได้มาดื่ม จะช่วยสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น มีฤทธิ์ช่วยฟื้นฟูต่อมไร้ท่อต่างๆ เช่นต่อมหมวกไตเป็นต้น และยังมีสรรพคุณช่วยในการปรับระดับความดันโลหิต ช่วยบำรุงไตได้เป็นอย่างดี

7. ลูกหม่อนหรือลูกมัลเบอรี่
ลูกหม่อนหรือลูกมัลเบอรี่ มีวิตามินซีสูง และมีไบโอฟลาโวนอยด์สูง ที่ช่วยแก้การอักเสบของเนื้อไตได้ดีมาก

8. สมุนไพรรักษาไต ขิง
อย่างที่ทราบกันอีกว่า ขิงเป็นสมุนไพรที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สรรพคุณของขิงช่วยในการกำจัดพิษไข้ ใช้ดื่มเพื่อบำรุงกษัย โดยที่น้ำขิงร้อนๆจะช่วยเป็นยากระจายเลือด ขับเลือดเสียได้เป็นอย่างดีวิธีใช้ก็แสนจะง่ายไม่ยุ่งยากวุ่นวาย ขิงที่มีสรรพคุณทางยามากๆจะต้องเป็นหินที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ยิ่งขิงที่มีกลิ่นฉุนและรสเผ็ดร้อนมากเท่าไรก็ยิ่งแสดงว่าเป็นขิงที่แก่จัดขิงยิ่งแก่มากเท่าไหร่ก็มีตัวยาสูงตลอดจนสรรพคุณด้านสมุนไพรก็จะมีเพิ่มขึ้น เป็นเท่าตัวทีเดียวส่วนของขิงที่จะแนะนำให้มีติดเอาไว้ในบ้านเรือนคือส่วนที่เป็นเหง้านั่นเอง สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตควรให้ดื่มน้ำแข็งบ่อยๆจะยิ่งดีจะเป็นการดื่มเพื่อช่วยในการบำรุงไตได้ดีเพราะสามารถทำให้ลดการอักเสบภายในได้และยังเป็นยาขับปัสสาวะอ่อนๆช่วยขับปัสสาวะที่ยังคั่งค้างอยู่ภายในมีฤทธิ์สลายนิ่วและสิ่งอุดตันช่วยลดไขมันในหลอดเลือดช่วยกำจัดพิษที่ตกค้างอยู่ได้ด้วยเช่นกัน

9. สมุนไพรช่วยบำรุงไต เก๋ากี้
เก๋ากี้ถูกนำไปใช้เข้าตัวยาหลักหลายชนิด หลายขนานด้วยกันโดยในการใช้หลักหลักจะเป็นยาขับพิษ ขับเลือด ขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงอวัยวะภายใน เก๋ากี้จัดเป็นยาบำรุงชั้นดี รวมไปถึงใช้เป็นยาบำรุงสายตาอีกด้วยช่วยรักษาโรคตาฟางหรือโรคต้อชนิดต่างๆได้เพิ่มการมองเห็นให้ดียิ่งขึ้น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หากดื่มน้ำเก๋ากี้บ่อยๆ จะช่วยสามารถลดความดันโลหิตได้ ทำให้หัวใจแข็งแรง ชาเก๋ากี้ ช่วยลดภาระให้แก่ไต ไม่ว่าจะเป็นการลดไขมันในกระแสเลือด ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล ช่วยขับปัสสาวะ และที่สำคัญจะช่วยชะลอการเสื่อมของไตได้เป็นอย่างดี

10. รักษาไตด้วยสมุนไพร หญ้าหนวดแมว
 วิธีการคือให้นำหญ้าหนวดแมวมาตากแห้ง แล้วเก็บไว้ชงกับน้ำสะอาดดื่ม จะช่วยทำให้ไตทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้นช่วยในการขับปัสสาวะ และยังสามารถป้องกันโรคนิ่วได้อีกด้วย แต่ในคนที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ ควรจะต้องระมัดระวังในการใช้หญ้าหนวดแมว เพราะอาจมีผลทำให้ใจสั่นได้

เราจะเห็นได้ว่าสมุนไพรทั้ง 10 ชนิดเหล่านี้ จะไม่ได้ใช้รักษาโรคไตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาโรคอันที่จะไปทำลายไตให้เสื่อมเร็วขึ้นได้ อย่างเช่น โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงระบบไหลเวียนของโลหิตไม่ดี น้ำตาลในกระแสเลือดสูง ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นผลทำให้ผู้ป่วยโรคไตมีอาการทรุดลงได้ หรือแม้แต่ผู้ที่ยังไม่ได้ป่วยเป็นโรคไตเลยแต่ถ้ามีอาการของโรคเหล่านี้ก็จะนำไปสู่การเป็นโรคไตได้เช่นกันอย่างไรก็ตามควรมีการศึกษาข้อมูลของสมุนไพรอย่างละเอียดถ้วนถี่ เพื่อที่จะได้รับประโยชน์จากสมุนไพรอย่างแท้จริง และจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเราเองด้วย

6 ภาวะเสี่ยงมะเร็ง

6 ภาวะเสี่ยงมะเร็ง


มะเร็งเป็นโรคที่ทุกคนหวาดกลัวตามหลักการแพทย์แผนจีนมีคำอธิบายถึงภาวะต่างๆที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งดังนี้

 1. ร่างกายแบบมีความชื้นสะสมเยอะ

ข้อสังเกตง่ายๆของคนที่มีร่างกายลักษณะนี้ก็คือคนที่อ้วนตัวใหญ่รู้สึกว่าในปากมีน้ำลายเหนียวเหนียวหวานๆ อ้ายรู้สึกว่าแขนขาหนักหนัก จะมีอาการท้องอืดแน่นท้องเป็นประจำ ชอบกินของมัน ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลักษณะเหล่านี้บอกถึงความเสี่ยงต่อการเป็นเนื้องอกออกซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งแต่ก็สามารถกลายเป็นมะเร็งได้ดังนั้นคนที่มีร่างกายลักษณะนี้จะต้องงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดการกินเนื้อสัตว์ งดของมันของหวาน และหันมากินอาหารรสจืดจืดแทนเพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้นสะสมในร่างกายเยอะ


อาหารที่ช่วยขับความชื้นในร่างกาย

ลูกเดือย

โดยสามารถนำมาต้มกินเพื่อขับความชื้น แก้ปวด ลดความอ้วน นอกจากนี้ยังสามารถกินลูกเดือยโดยแทนข้าวทุกมื้อเลยก็ได้ จนกว่าอาการจะดีขึ้น เมื่อกินไปได้ประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะรู้สึกว่าตัวเบาขึ้นไม่บวมอาการท้องอืดแน่นท้องก็จะดีขึ้นรู้สึกมีแรงมากขึ้น


2. ร่างกายแบบชี่บกพร่องหรือร่างกายที่ลมปราณอ่อนแอ

ข้อสังเกตคือคนที่มีร่างกายลักษณะนี้จะมีดวงตาและสีหน้าที่ไม่มีชีวิตชีวามีอาการอ่อนเพลีย เหงื่อออกเยอะ รู้สึกขี้เกียจพูด หายใจไม่ทันหายใจไม่เต็มอิ่มซึ่งลักษณะเหล่านี้อาจนำไปสู่โรคมะเร็งปอดได้ง่ายเพราะปอดเป็นตัวสูบฉีดลมปราณในร่างกาย ใครที่มีลักษณะข้างต้นจึงควรพักผ่อนเยอะๆไม่หักโหม งดสูบบุหรี่ อยู่ในสถานที่ที่อากาศถ่ายเท ฝึกนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจโดยการหายใจเข้าออกลึกลึกช้าๆ หายใจให้สุดเพื่อปรับออกซิเจนในเลือดให้เพิ่มมากขึ้นและอาจจะต้องกินยาบำรุงซึ่งต้องให้หมอเป็นคนจ่ายให้


อาหารที่ช่วยปรับลมปราณ

ยาฮ่วงฉี

ยาชนิดนี้จะช่วยบำรุงชี่ หาซื้อได้จากร้านขายยาจีนนำมาต้มดื่มเป็นน้ำชาโดยนำแผ่นยามาล้างก่อน 1 รอบ จากนั้นใช้ตัวยาในปริมาณ 10 กรัมใส่หม้อต้มกับน้ำร้อน  500 CC  จนเดือด แล้วกรองเป็นชาดื่ม สามารถกินแทนน้ำเปล่าได้ ยาฮ่วงฉี เป็นยาบำรุงที่ใช้มากในผู้ป่วยพักฟื้นหลังผ่าตัด เพื่อบำรุงเลือดและลมปราณ แต่สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นไข้หรือไข้หวัดควรหลีกเลี่ยงยาชนิดนี้ เพราะจะยิ่งเป็นการเพิ่มความร้อนให้กับร่างกาย

โสมอเมริกา

เป็นโสมที่มีราคาไม่แพงมากนัก หาซื้อได้จากร้านยาจีนเช่นกัน ตัวยาจะมาในลักษณะแผ่นสีขาวนวล ให้นำมาต้มแล้วกลองดื่มเช่นเดียวกับยาฮ่วงฉี  แต่ส่งอเมริกาจะให้ความร้อนน้อยกว่าจึงไม่ทำให้เป็นร้อนใน


3. ร่างกายแบบอินพร่อง

คนที่เป็นอินพร่องมักจะเป็นคนผอม  อินคือความเย็น ความเย็นในร่างกายน้อยเพราะร่างกายข้างในมีการเผาผลาญเยอะทำให้สารน้ำในร่างกายน้อยตัวเลยผอมและจะมีความรู้สึกคอแห้ง หิวน้ำ ปากแห้ง ท้องผูก ฉี่เหลือง ตัวร้อน ฝ่ามือและฝ่าเท้าร้อน มีเหงื่อออกเยอะ ถ้าสารน้ำในร่างกายไม่พอก็จะส่งผลให้เป็นมะเร็งปอดได้ พบมากในคนที่สูบบุหรี่เพราะบุหรี่ทำให้ร่างกายร้อนดังนั้นผู้ที่สูบบุหรี่จึงควรงดสูบและให้จิบน้ำบ่อยๆ


อาหารที่ช่วยเพิ่มความเย็น

ม่ายตง

ม่ายตงเป็นรากไม้ที่อยู่ใต้ดินเป็นยาเย็นใช้ประมาณ 1 ช้อนชาต้มกับน้ำ 500 CC แล้วจิตจนกว่าอาการจะดีขึ้นจะรู้สึกปากคอหายแห้งและหิวน้ำน้อยลง


4. ร่างกายแบบหยางพร่อง

หยางก็คือความร้อน ผู้ที่หยางพร่องคือมีความร้อนในร่างกายน้อย ทำให้มีอาการขี้หนาว เหงื่อออกเยอะอาจจะมีอาการถ่ายเหลวหรือปัสสาวะบ่อยด้วย ส่วนใหญ่จะพบในผู้สูงอายุอาจจะเกิดจากการทำงานเหนื่อยมากเกินไปเป็นเวลานานๆ ร่างกายลักษณะนี้จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้ เพราะมีหยางไม่พอสำหรับการย่อยอาหาร ดังนั้นจึงต้องให้ความอบอุ่นกับร่างกายและหลีกเลี่ยงการกินของเย็นเช่น น้ำเย็น น้ำแข็ง ไอศครีม


อาหารเพิ่มความร้อน

ขิง

การกินขิงจะช่วยให้หายหนาวและทำให้กระเพาะอาหารอุ่น นำขิงแก่ครึ่งแง่งมาต้มกับน้ำ 500 ซีซีแล้วดื่มได้เลย นอกจากการกินขิงแล้วการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นก็ช่วยเพิ่มความร้อนให้ร่างกายได้


5. ร่างกายแบบเลือดติดขัดไหลเวียนไม่ดี

การที่เลือดติดขัดในร่างกายมักจะเกิดจากการเจ็บป่วยเรื้อรังรักษาไม่หายสักที ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี ผู้ที่มีร่างกายลักษณะนี้อาจจะมีสีหน้าคล้ำ ริมฝีปากคล้ำ ใต้ตาดำ ลิ้นสีออกม่วง ซึ่งเป็นลักษณะที่เสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับ ปัจจุบันโรคมะเร็งตับมักเกี่ยวข้องกับการกินอาหาร เช่นอาหารมันอาหารย่อยยาก เนื้อสัตว์ติดมันทั้งหลาย พ่อกินของมันเลือดก็หนืด ไขมันในเลือดสูง จึงทำให้เลือดติดขัด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ควรหลีกเลี่ยง นอกจากนี้ก็ต้องผ่อนคลายความเครียด ปรับอารมณ์ ทำให้จิตใจสงบด้วย


อาหารที่ช่วยปรับระบบไหลเวียนของเลือด
ชากุหลาบ
ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีและช่วยให้ผ่อนคลาย ใช้ชา 1 ช้อนชา ใส่แก้ว แล้วเทน้ำร้อน 500 CC  คนให้เข้ากันแล้วดื่ม

ชาดอกคำฝอย
เช่นเดียวกับชากุหลาบ ใช้ชา 1 ช้อนชา แล้วเทน้ำร้อน 500 CC  โดยอาจดื่มผสมกับชากุหลาบก็ได้


6.ร่างกายแบบชี่ติดขัด

ตั้งกายลักษณะนี้คือการที่ลงการไหลเวียนไม่สะดวก คนที่มีร่างกายลักษณะนี้มักจะเป็นคนไม่ค่อยมีความสุข ลังเล อารมณ์อ่อนไหวง่าย แน่นหน้าอก เจ็บร้าวที่สีข้าง เพราะมีสาเหตุจากอารมณ์ นอกจากนี้หากชี่ติดขัดนานๆ จะส่งผลให้เลือดติดขัดไปด้วย ดังนั้นวิธีปรับก็คือทำจิตใจให้ผ่อนคลายทำสมาธิ ไม่หงุดหงิด ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมที่ตัวเองทำแล้วมีความสุข นอกจากนี้ก็ให้กินอาหารขับลมชนิดต่างๆ


วิธีปรับลมปราณหรือชี่ในร่างกาย

นวดกดจุด

ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นวิธีปรับปรุงการที่ดีที่สุด โดยจะเป็นในรูปแบบไหนก็ได้ เช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ ทำแอโรบิก ให้ร่างกายได้ขยับ อย่านั่งท่าเดิมนานๆ เพื่อช่วยให้ลมปราณไหลเวียนดี

อาชีพเสี่ยงตายที่สุดในโลก

อาชีพเสี่ยงตายที่สุดในโลก
ทะเลเบริงอยู่ทางทิศตะวันออกของรัสเซียและอลาสก้าแต่พื้นที่ของทะเลดังกล่าวอยู่ไกลแสนไกลจากพื้นดินที่เป็นฝั่งอย่างมากทั้งภูมิอากาศแถบนั้นยังหนาวเย็นอย่างร้ายกาจและที่สุดโหดยิ่งกว่าอื่นใดก็คือกระแสลมรุนแรงและเกลียวคลื่นอันบ้าคลั่งที่ปั่นป่วนตลอดเวลาตามปกติแล้วความสูงของคลื่นโดยเฉลี่ยจะอยู่ประมาณราว 10 ถึง 20 ฟุตซึ่งก็ถือว่าเป็นคลื่นทะเลที่อันตรายอย่างมากแต่ถ้าเป็นห่วงเวลาระหว่างเดือนตุลาคมถึงมกราคม ความรุนแรงของคลื่นจะเข้าสู่ภาวะวิกฤตคือมีคลื่นสูงถึง 50 ฟุตขึ้นไปและบางครั้งถึงขั้นนรกแตกคือคลื่นสูงถึง 80 ฟุตสามารถกลบฝัวเรือประมงเดินทะเลให้จมหายไปได้ง่ายๆ

แม้ว่าภาวะอากาศจะเลวร้ายสุดๆด้วยความหนาวเย็นและคลื่นทะเลที่บ้าคลั่งอย่างน่าสยดสยอง แต่เรือล่าปูอลาสก้าก็ไม่พรั่นพรึงที่จะฝ่าเข้าไปในพื้นที่ทำประมงที่อันตรายที่สุดในโลก เนื่องจากในห้วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ปูอลาสก้า 2 ประเภทคือ ปู King Crab และ Opilio Crab จะมาชุมนุมอยู่ในพื้นที่แห่งนี้เพื่อผสมพันธุ์ซึ่งเป็นวาระเดียวของปีที่มีโปรมาชุมนุมกันใต้ท้องทะเลมากที่สุดรวมทั้งทางการจะอนุญาตให้ล่าปูทั้งสองประเภทนี้ได้ในเวลาจำกัดดังกล่าวเพียงครั้งเดียวใน 1 ปีเท่านั้น กัปตันเรือทะเลล่าปูอลาสก้าต้องใช้เวลาเตรียมความพร้อมของเรือและซ่อมบำรุงอุปกรณ์ทุกอย่างบนเรือถึง 2 เดือนเต็ม ก่อนจะนำเรือออกล่าปูขนาดใหญ่ราคาแพงอย่างเสี่ยงชีวิต

ลูกเรือที่จะไปกับเรือต้องมีคุณสมบัติพิเศษจริงจึงจะผ่านการคัดเลือกจากกัปตัน ขั้นแรกสุดต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์มีความทรหดอดทนสูงต่องานหนักซึ่งจะเผชิญในช่วงของการล่าปูเพราะลูกเรือทุกคนต้องทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ต่ำกว่า 20 ชั่วโมงการพักผ่อนนอนหลับแทบจะเป็นไปไม่ได้ เรื่องจะเลือนั้นสั่นสะท้านโครงเครงอย่างหนักจากกระแสขึ้นลมบ้าคลั่งตลอดเวลาเมื่อการล่าปูอลาสก้าเริ่มขึ้นกรงดักปูซึ่งใส่เหยื่อล่อเอาไว้จะถูกเหวี่ยงลงไปในทะเลหลายสิบกรงโดยมีทุ่นลอยผูกไว้ให้เห็น เมื่อเดือวกกลับลูกเรือจะเกี่ยวเอากรงขึ้นมาบนเรือแล้วแยกย้ายกันเอาปูที่อยู่ในกรงออกมาคัดเลือกปูที่มีขนาดมาตรฐานใส่ในที่เก็บใต้ท้องเรือส่วนผู้ที่ไม่ได้ขนาดจะถูกโยนกลับทะเลไปแต่การล่าปูอลาสก้าก็เหมือนกับการวัดดวงเหมือนกันเพราะแม้แต่กัปตันซึ่งมีประสบการณ์สูงก็ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าพื้นที่ไหนที่มีปูอยู่มากหรือน้อยหรือไม่มีเอาสักตัวการลากกรงดักขึ้นจากทะเลอาจมีโปรจำนวนมากในกรงหรืออาจไม่มีปูเลยก็ได้

ลูกเรือทุกคนในเรือล่าปูอลาสก้าจะมีรายได้จากจำนวนปูทั้งหมดที่จับได้เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องทำงานหนักตามหน้าที่ที่รับผิดชอบและสิ่งอันตรายตลอดเวลาระหว่างทำงานเนื่องจากจำเป็นจะต้องทุ่มเทสมาธิและความมุ่งมั่นต่อภารกิจของตนสูงสุดหากประมาทเลินเล่อก็อาจเกิดอันตรายต่อตัวเองได้ง่ายเช่น กรงดักปูที่หนักไม่ต่ำกว่า 800 ปอนด์อาจจะวิ่งมากระแทกถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสบางครั้งก็อาจเสียชีวิตหรืออาจถูกคลื่นกว่าตกทะเลซึ่งโอกาสรอดชีวิตแทบไม่มีเพราะน้ำทะเลนั้นเย็นมากและคลื่นที่บ้าคลั่งจะสามารถติดชีวิตได้ทันที เหตุนี้การล่าปูของบรรดาเรือประมงล่าปูอลาสก้าทุกฤดูกาลจะมีลูกเรือเสียชีวิตหรือสูญหายไม่น้อยกว่า 1 รายเสมอหรือมีเรือลากปูถูกคลื่นกว่าจนล่มจมหายไปทั้งลำทุกชีวิตบนเรือหมดโอกาสรอดชีวิตกลับมาซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว

แต่ถ้าอยู่รอดปลอดภัยกับมาโดยทำงานหนักตลอด 7 ถึง 30 วันและได้ปูที่อัดแน่นเต็มที่เก็บใต้ท้องเรือก็จะหมายความว่าทุกคนจะมีรายได้สามารถเลี้ยงชีพไปตลอดปีโดยจะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ประมาณคนละ 1.7 ถึง 3.5 ล้านบาทในหนึ่งฤดูกาลทีเดียว เหตุนี้งานหนักและสิ่งชีวิตสูงในเรือล่าปูอลาสก้าจึงมีผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าและท้าทายความกล้าความทรหดสำหรับนักผจญภัยทุกคน

ข้าวจี่อร่อยได้ง่ายๆในหน้าหนาว

ข้าวจี่อร่อยได้ง่ายๆในหน้าหนาว
ช่วงอากาศหนาวหนาวเย็นๆแบบนี้อาหารยอดนิยมที่ห้ามพลาดนั่นก็คือข้าวจี่ อาหารพื้นบ้านที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษรับประทานควบคู่ไปกับเนื้อตากแห้งย่าง ไก่ย่าง และปลาร้าบอง ข้าวจี่คือขนมพื้นบ้านของภาคอีสานทำจากข้าวเหนียวนึ่งแล้วนำมาทาเกลือให้ออกรสเค็มโดยปั้นเป็นก้อนกลมหรือเป็นแผ่นนำไปปิ้งไฟอ่อนๆจากนั้นนำมาชุบไข่ไก่แล้วนำไปย่างไฟอีกรอบ ส่วนทางภาคเหนือนิยมนำข้าวเหนียวนึ่งมามูนกับน้ำกะทิให้มีรสชาติกลมกล่อมจากนั้นนำมาปั้นเป็นก้อนหรือแผ่นปิ้งไฟอ่อนๆชุบไข่แล้วนำไปย่างไฟอีกครั้งนิยมทำทานในช่วงอากาศหนาว หลายคนอยากมีรายได้พิเศษและพยายามมองหาอาชีพเสริมทำเงินที่สามารถสร้างรายได้ให้ตามที่ต้องการสำหรับคนที่อยากมีรายได้แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะขายอะไรดี ฉบับนี้ผมมีวิธีทำข้าวจี่อีสานมาแนะนำกันเพราะเป็นงานขายของกินที่ลงทุนน้อยขายง่ายกำไรดีและที่สำคัญเป็นอาชีพเสริมทำเงินที่คนมองข้าม

แม่ค้าขายข้าวจี่ที่ผมไปพูดคุยด้วยกล่าวว่า ขายข้าวจี่มาเกือบ 15 ปีปัจจุบันขายข้าวจี่ราคาชิ้นละ 5 บาทในแต่ละวันขายได้ประมาณ 200 กว่าชิ้นแต่ช่วงที่มีอากาศหนาวเย็นจะส่งผลให้ข้าวจี่ปิ้งไฟอุ่นอุ่นๆกลายเป็นสินค้าขายดียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นวันละเกือบ 400 ชิ้นโดยเฉพาะในช่วงเช้าลูกค้าจะมายืนรอสั่งซื้อกลับไปรับประทานที่บ้านจนปิ้งตามสั่งแทบไม่ทันแต่ละวันจะใช้ข้าวเหนียววันละกว่า 20 กิโลกรัม ไข่เป็ดวันละ 2 แผง เริ่มขายตอนเช้าตรู่พอสายหน่อยก็หมดแล้ว

ไม่เพียงเท่านั้นแม่ค้าเข้าจียังได้กล่าวถึงเรื่องของข้าวจี่ให้ฟังอีกว่าข้าวเหนียวปั้นชุบไข่หรือที่เรียกว่าข้าวจี่ถือเป็นอาหารพื้นบ้านเป็นอาหารที่ทำได้ง่ายแต่เคล็ดลับของความอร่อยจะไม่เหมือนกันโดยเฉพาะสูตรปรุงไข่สำหรับชุบข้าวจี่ของตนที่มีเครื่องปรุงทั้งเกลือไอโอดีนผงปรุงรสและไข่เป็ดที่ต้องสดใหม่เท่านั้น สำหรับปลาร้าบองที่เป็นสูตรเด็ดเน้นความนัวหรือกลมกล่อมนั้นเป็นสูตรเก่าแก่ของทางบ้านซึ่งตนจะทำเองและทำใหม่ทุกวัน

ช่วงนี้ข้าวจี่จะมีความหอมนุ่มเป็นพิเศษเนื่องจากได้ใช้ข้าวเหนียวใหม่มาปิ้งย่างได้ชุบขายที่เป็นไข่เป็ดที่มีความเหนียวเกาะก้อนเข้า 4 ได้เป็นอย่างดีไปปิ้งไฟกับด้านบนล่างเพียงไม่ถึง 5 นาทีก็จะได้ข้าวจี่หอมกรุ่นกินร้อนๆก็อร่อย ยิ่งถ้าเอาไปจิ้มกับปลาร้าบองก่อนกินก็ยิ่งแซ่บ และหากฉีกเนื้อแห้งปิ้งเคี้ยวตามไปด้วยก็จะครบสูตรรับรองว่าอร่อยอย่าบอกใครเข้ากับบรรยากาศหน้าหนาวได้เป็นอย่างดี แม่ค้าข้าวจี่รสแซ่บกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม ข้าวจี่หรือข้าวเหนียวปิ้งทาไข่ชิ้นละ 5 บาทอย่าดูถูกคิดว่ารายได้คงไม่เท่าไหร่ถ้าคุณลองได้ไปดูเวลาขายข้าวจี่ตอนเช้าหรือบางเจ้าที่ขายช่วงเย็นแล้วอาจจะต้องพึ่งเพราะว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ยิ่งหน้าหนาวแล้วข้าวจี่ร้อนร้อนกลิ่นหอมกินพร้อมกับเนื้อทอดหรือไก่ย่างร้อนๆก็อร่อยขั้นเทพ

ที่ได้นำเสนอเรื่องเข้าจี่ชิ้นละ 5 บาทนี้เพราะว่าเป็นอีกอาชีพหรือธุรกิจหนึ่งที่ทำรายได้ดีทีเดียว อาจจะมองดูแล้วไม่มีราคาในสายตาคนทั่วไปเพราะไม่เท่ไม่ดูดีไม่มีร้านสวยงามเท่าไหร่เพราะส่วนใหญ่ร้านขายข้าวจี่มักจะขายกันข้างทางต่อรถพ่วงมอเตอร์ไซค์ขายหรืออาจจะขายรถเข็นก็แล้วแต่หากเมื่อพิจารณาดีๆแล้วจะพบว่าธุรกิจขายอาหารหรือขายของกินแบบนี้ลูกค้ามาซื้อแล้วหิ้วไปทานหน้าร้านก็ไม่ต้องเช่าหรือจ่ายก็น้อยมากทำให้มีกำไรมากถึงวันละ 500 ถึง 1000 บาท ต่อวันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งในเขตชุมชน โรงงาน ห้างสรรพสินค้าแล้วจะเป็นทำเลทองกันเลยขายกันแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้นใครที่ต้องการทำเป็นอาชีพเสริมยังได้เพราะลงทุนน้อยบวกกับความสามารถและทำเลดีๆคุณก็สามารถทำเงินได้ไม่ยากนัก จากร้านขายข้าวจี่หรือข้าวเหนียวปิ้งนี้รายได้อีกส่วนหนึ่ง มาจากอาหารสำเร็จพร้อมทานใส่ถุงไว้ให้ลูกค้าได้เลือกเป็น Option เสริมและหลัก ยิ่งในแถบภาคอีสานแล้วจะยิ่งนิยมซื้อทานแบบนี้กันมากและกำลังได้รับความนิยมไปทุกที่เพราะคนอีสานกระจัดกระจายไปทำงานทั่วประเทศวัฒนธรรมการอยู่กินก็ตามไปด้วย

ใครที่สนใจขายอาหารตอนเช้าหรือเย็นแบบนี้ก็ต้องหาทำเลศึกษาตลาดกันก่อนว่ามีเจ้าของพื้นที่หรือไม่มีกี่รายหรือเราถนัดอะไรทำไมเขาต้องมาซื้อกับเราธุรกิจอาหารแบบนี้ลงทุนต่ำก็จริงแต่ถ้าฝีมือไม่ดีก็มีจริงให้เห็นกันถมไป อีกอย่างสมัยนี้เรื่องอาหารการกินความสะอาดนั้นต้องมาเป็นอันดับแรกเพราะคนเราเดี๋ยวนี้เขาก็เลือกทานและใส่ใจสุขภาพมากขึ้นร้านไหนที่ดูสะอาดรสชาติใช้ได้อยู่ได้มีกำไร ยิ่งถ้ารสชาติอาหารดีแล้วสะอาดถูกหลักอนามัยบางทีอาจจะมีลูกค้าต่อคิวกันซื้อเลยทีเดียว สำหรับการทำข้าวจี่ขายนั้นใครที่สนใจก็ลองทำดูง่ายไม่ซับซ้อน ทำกำไรได้ไว

มาดูวิธีทำข้าวจี่กัน
เครื่องปรุงและสิ่งที่ต้องเตรียม
ข้าวเหนียวนึ่งร้อนๆ
เกลือป่น
ไข่ไก่

วิธีทำข้าวจี่
1. นำข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วกำลังร้อนมาปั้นเป็นก้อนกลม หรือหากทำขายเป็นอาชีพเสริมทำเงินกดใส่พิมพ์กลมกลมทำเป็นแผ่น
2. จากนั้นทาเกลือบางบางแล้วนำไปย่างไฟอ่อน
3. ตอกไข่แล้วตีอาจปรุงรสด้วยเกลือและผงปรุงรสเล็กน้อยนำข้าวจี่ที่ได้มาชุบขายแล้วนำไปย่างต่ออีกครั้ง
4. ถ้าต้องการให้ถ่ายติดหนาหนาก็นำข้าวจี่มาชุบไข่หลายๆครั้ง
5. ส่วนวิธีทำข้าวจี่แบบภาคเหนือให้นำกะทิที่คั้นแล้วมาปรุงรสด้วยเกลือป่นและน้ำตาลทรายคนส่วนผสมจนละลาย
6. เทข้าวเหนียวที่กำลังร้อนๆลงในน้ำกะทิใช้ไม้พายคนข้าวกับน้ำกะทิให้เข้ากันแล้วปิดฝาภาชนะทิ้งไว้สักระยะ
7. ต่อจากนั้นนำมาปั้นเป็นก้อนหรือกรดใส่แม่พิมนำไปย่างและซุปไก่ย่างอีกครั้งทำเช่นเดียวกับข้าวจี่แบบอีสาน

ข้าวจี่เป็นขนมหรือของว่างทานเล่นที่ทำง่ายนอกจากจะทำทานเองแล้วยังทำขายเป็นอาชีพเสริมทำเงินที่น่าสนใจลงทุนน้อยขายง่ายและกำไรดีโดยเฉพาะทำขายในช่วงเช้าวิ่งใหม่ร้อนๆอาจจะแทนอาหารเช้าได้เลย

ไสยศาสตร์อัศจรรย์วิชาเสือสมิงศาสตร์แห่งไสย

ไสยศาสตร์อัศจรรย์วิชาเสือสมิงศาสตร์แห่งไสย
สามเณรครูบาธรรมชัยลำดับความมุ่งมั่นตัดสินใจออกธุดงค์ครั้งนี้นั้นเนื่องจากประสงค์จะดั้นด้นเข้ามาในป่าในเขาก็หวังจะขัดเกลากิเลสให้หมดสิ้นไปเพื่อจะได้ล่วงพ้นกองทุกข์ใหญ่ในกายสังขารนี้เป็นสำคัญ โดยตั้งใจจะสิ้นภพสิ้นชาติไปในชาตินี้ไม่เวียนว่ายตายเกิดมารับทุกข์อีกต่อไปแต่พอมาเจอรอยเท้าเสือเท่านั้นกลับเกิดความรักตัวกลัวตายอย่างไร้สติ

เมื่อคิดได้เช่นนี้สติก็สามารถควบคุมจิตได้ความกลัวเสือ กลัวความตายพันหายไป จิตเกิดความองอาจกล้าหาญสลายความหวาดหวั่นพรั่นพรึงไปจนหมดสิ้นจึงได้นั่งลงพิจารณาความเป็นจริงกลับไปกลับมาเท่าที่ความรู้ในทางธรรมซึ่งครูอาจารย์อบรมสั่งสอนมากำหนดพิจารณาเพียงเป้าหมายเดียวจิตก็รวมตัวเข้าสู่ความสงบดิ่งลงเป็นสมาธิไม่รับรู้อารมณ์อื่นใดทั้งสิ้น

สามเณรครูบาธรรมชัยอยู่ในสมาธินั่นนานจูบจนเวลาเลื่อนไหลไปสู่ช่วงเย็น แดดอ่อนๆสัตว์จากยอดไม้เดนจึงคายออกจากสมาธิจิตมีความปลอดโปร่งปราศจากความวิตกกังวลใดๆมากล้องติดเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาอันเหมาะสมจึงเตรียมตัวจะไปส่งน้ำที่ลำห้วยเพื่อชำระร่างกาย

สามเณรเดินจากร่มไม้ตรงไปยังลำห้วยแหล่งน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลนักพอพ้นพุ่มไม้ดกหนาออกไปเต็มตัวก็ประสบเข้ากับภาพที่ไม่คาดฝันว่าจะพบเห็น

ที่นั่นริมห้วยน้ำใส เสือโคร่งตัวมหึมากำลังก้มกินน้ำอยู่ ทันทีที่สามเณรปรากฏตัวเสื้อตัวนั้นก็หันขวับกลับมา เณรตกตะลึงนะจังงังและเสือก็คงตกตะลึงเช่นกันเสือใหญ่เจ้าป่าหมุนตัวย่อขาลงเตียงจู่โจมเข้ากับคุกพลางส่งเสียงคำรามกระหึ่ม ตบะบารมีของเสือสมิงกินคนบีบคั้นกดดันจนสติสามเณรไม่อาจควบคุมได้ ความรักตัวกลัวตายที่สูญหายไปหวนกลับมาในพริบตานั้น เสือใหญ่แผดเสียงสนั่นแล้วกระโจนเข้าตะปบ  ด้วยความตกใจ เณรผงะถอยหลังบังเอิญมีรักไม้ขวางอยู่ข้างหลังจึงสะดุดรักไม้ล้มหงายหลังร่างเสือลอยละลิ่วผ่านไปอย่างฉิวเฉียดพอถึงพื้นก็กระโจมแถวเข้าป่าหายไป

ส่วนสามเณรครูบาธรรมชัยยังนอนหงายตัวสั่นเทาด้วยความตกใจกลัวสุดขีดคิดว่าตัวเองคงเป็นเหยื่อให้เสือกินแน่แต่เสือไม่ได้หวนมาขย้ำกลับหายเงียบไป แน่นอนท่าเดิมอยู่พักใหญ่จึงได้สติลุกขึ้นมานั่งพิจารณาจิตของตัวเองด้วยความละอายใจเพราะแท้จริงแล้วจิตของตนก็ยังถูกความหวาดกลัวครอบงำไม่เลิกการที่จิตอ่อนไว้ให้อารมณ์มีอำนาจเหนือกว่าเพราะขาดสติมั่นคงเมื่อขาดสติปัญญาก็พลอยมืดบอดอย่างน่าสังเวช เมื่อพิจารณาได้เช่นนี้สามเณรก็ตัดสินใจจะตามไปหาเสือตัวนั้นอีกครั้งเมื่อจิตมันยังหวั่นไหวกับกิเลสความกลัวก็จะยอมให้เสือฉีกกินเนื้อให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย การที่เณรตัดสินใจมอบกายถวายชีวิตแก่เสือเพราะคิดว่าแค่อารมณ์ความกลัวเพียงเท่านี้ยังตัดไม่ขาดแล้วจะตัดกิเลสอันใหญ่หลวงที่ครอบงำชีวิตได้อย่างไรดังนั้นแทนที่จะส่งน้ำชำระร่างกายสามเณรกับเดินตามรอยเสือซึ่งกระทำไว้บนพื้นดินไปเรื่อยๆหวังเอาไว้ว่าจะเผชิญกับเสืออีกครั้งเพื่อดูว่าจิตมันจะขาดกลัวเหมือนเดิมหรือไม่หากยังไม่สามารถควบคุมสติได้ก็จะให้เสือมันขบกัดจนตายไปเสียเถอะ

คิดเช่นนี้สามเณรก็เดินดุ่มเป็นฝ่ายตามหาเสือเสียเองไม่รอให้เสือมาตามล่าเอาชีวิตเช่นที่ผ่านมาร่องรอยของเสือพอจะเห็นได้ชัดเจนเป็นระยะร้อยนั้นมุ่งตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่เณรยึดเป็นที่พักภาวนาปฏิบัติธรรมคล้ายกับว่าเสือจะย้อนไปดักรอคอยเพื่อหาโอกาสสังหารเณร เวลานั้นสามเณรครูบาธรรมชัยจิตใจมั่นคงองอาจไม่กลัวตายแม้จะเห็นรอยเท้าเสือบ่ายหน้าไปยังที่พักของตนแต่ความหวั่นไหวสะดุ้งกลัวก็ไม่เคยขึ้นคงเดินแน่วแน่ๆไปยังต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีบริการวางอยู่

เมื่อเข้าไปใกล้มองไปข้างหน้าแทนที่จะเห็นเสือใหญ่กลับเห็นเป็นพระธุดงค์รูปหนึ่งนั่งสงบตรงโคนต้นไม้ใหญ่คลังเดินเข้าไปใกล้ก็สังเกตเห็นว่าพระธุดงค์รูปนั้นมีผิวกายคล้ำเกรียมแต่มีสง่าราศีเปล่งปลั่งน่าเลื่อมใสเณรเดินเข้าไปใกล้พอสมควรแล้วทรุดกายลงนอนนมัสการ

"กำลังเดินตามหาเสือ จะให้เสือมันกินหรือเณร"

คำพูดที่พระธุดงค์ทักทายทำเอาเณรนั้นสะดุ้งเพราะประหนึ่งท่านรู้วาระจิตโดยตลอด เณรไม่ตอบคำพูดถึงคำถามนั้นหากย้อนถามท่านไปว่า

"พระคุณเจ้าเคยพบเห็นเสือตัวหนึ่งบ้างไหมขอรับ"

เห็นหรือไม่เห็นก็ไม่ได้มีความหมายสำคัญอะไร พระธุดงค์ตอบ
ใจของเรานั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นภายนอก หากใจ สะอาดบริสุทธิ์มีศีลมีสมาธิมีปัญญาเต็มภูมิแล้ว เสือสมิงหรือสัตว์ใดๆก็จะไม่เข้ามาข้องแวะและประสงค์ร้าย

เณรกราบเรียนถามท่านว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไรและจำพรรษาอยู่วัดไหน ทว่าพระธุดงค์รูปนั้นก็ไม่ตอบคำถามท่านบอกเพียงแต่ว่าเป็นพระธุดงค์ซึ่งจาริกไปเรื่อยๆเพื่อปฏิบัติธรรม จากนั้น ท่านก็ได้กล่าวแนะนำเข้าทำให้แก่สามเณรครูบาธรรมชัยอีกหลายข้อ รวมทั้งแนวทางการภาวนาและการเดินจงกรมที่ถูกวิธีเพิ่มเติม ข้อสำคัญที่สุดที่พระธุดงค์ลึกลับเมตตาแนะนำก็คือการปฏิบัติธรรมกระทำความเพียรนั้นควรมีครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนเมื่อใดที่ขัดข้องในข้อธรรมใดใดครูอาจารย์จะได้ช่วยแนะนำให้เข้าใจจนชัดเจนท่านยังชี้แนะอีกว่า

"เณรควรไปนอบน้อมกราบไหว้ฝากตัวเป็นศิษย์ท่านครูบาศรีวิชัย มหาเถรผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาเถิด"

เณรก็ก้มกราบรับเอาคำแนะนำทั้งหลายไว้ด้วยความเคารพ เมื่อสนทนาเพียงแค่นี้ พระธุดงค์ลึกลับก็จะไปอย่างเงียบๆโดยไม่รู้ว่าท่านจะไปที่ใดอีก พระธุดงค์รูปนี้จะเป็นผู้สำเร็จวิชาเสือสมิง หรือเสือเย็นใช่หรือไม่ เป็นเรื่องที่ ยากที่จะระบุลงไป แต่ถ้าท่านสำเร็จวิชาดังกล่าวถึงขั้นจำแลงแปลงกายได้จริงๆคงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะเปลี่ยนรูปไปเป็นเจ้าป่าแล้วออกอาละวาดฆ่าวัวฆ่าควายของชาวบ้านทั้งยังสังหารกินคนให้เป็นบาปกันอันหนักหนาสาหัสเข้าไปอีก

อาจเป็นไปได้ว่ามีเสือจริงบุกรุกเข้ามาคบกับวัวควายของชาวบ้านและสังหารผลาญชีวิตผู้คนบังเอิญมีผู้พบเห็นพระธุดงค์ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเลยเหมาเอาว่าเป็นพระธุดงค์ที่มีวิชาเสือสมิงจำแลงแปลงกายแล้วกลายเป็นเรื่องเล่าบอกต่อขยายความจนแพร่หลายไปทั่ว

นี่คือเกร็ดเล็กๆในอรรถประวัติของท่านครูบาธรรมชัยเจ้าอาวาสวัดทุ่งหลวงอำเภอแม่แตงจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งท่านเคยเกี่ยวข้องกับพระธุดงค์ลึกลับรูปหนึ่งที่น่าสงสัยว่าจะสำเร็จวิชาเสือสมิงหรือเสือเย็น

ได้เขียนเล่ากล่าวอ้างเรื่องเสือสมิงมาหลายเรื่องแล้วเพื่อเสนอข้อมูลหลักฐานยืนยันว่าวิชาเสือสมิงน่าจะมีจริงๆและมีผู้เรียนวิชานี้สำเร็จมาแล้วกระนั้นก็ยังมีเรื่องวิชาจำแลงแปลงร่างกายจากมนุษย์ไปเป็นสัตว์ได้ปรากฏอย่างน่าอัศจรรย์ซึ่งเป็นภาวะเหลือเชื่อเหนือโลกจนปุถุชนคนธรรมดายากจะให้เชื่อถือได้อย่างสนิทใจ

อภินิหาร ณ พระแท่นดงรัง

เมื่อเอ่ยชื่อพระแท่นดงรัง คิดว่าคนไทยโดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนคงจะเคยได้ยินชื่อและเคยไปนมัสการหรือไปเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้มาแล้วเพราะถือว่าเป็นปูชนียสถานอันทรงคุณค่าของจังหวัดกาญจนบุรี สิ่งที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมเป็นอย่างยิ่งคือ พระแท่นดงรัง ซึ่งสันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าบรมโกศโดยพระแท่นดงรังนั้นเชื่อกันว่าเป็นพระแท่นศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานถือเป็นปูชนียสถานจำลองเครื่องหมายแห่งเหตุการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าณสาลวโนทยานประเทศอินเดีย โดยลักษณะของพระแท่นบรรทมนั้นเป็นหินแท่งทึบ มีรูปลักษณ์คล้ายแท่นหรือเตียงนอน เริ่มที่มีต้นรังอยู่ริมพระแท่นข้างละต้นโน้มยอดเข้าหากันดูแปลกตา

พระแท่นดงรังตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาถวายพระเพลิงตำบลพระแท่นอำเภอท่ามะกาจังหวัดกาญจนบุรีห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 38 กิโลเมตรหรือถ้านับจากกรุงเทพก็เพียง 100 กิโลเมตรเศษเศษไม่ถึง 110 กิโลเมตรถือว่าอยู่ใกล้ไปมาสะดวกทีเดียวนับเป็นปูชนียสถานที่มีประชาชนนิยมนับถือกันมากแห่งหนึ่งไม่แพ้พระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี เพราะผู้คนพากันชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาปรินิพพานณสถานที่แห่งนี้ ทั้งนี้เพราะลักษณะภูมิประเทศที่รายล้อมพระแท่นมีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่พระนิพพานในประเทศอินเดียเป็นอย่างมาก กล่าวคือมีแท่นบรรทมและต้นรังคู่หน้าวิหารพระแท่นแต่ปัจจุบันนี้ต้นรังที่ว่านั้นไม่มีแล้ว

นอกจากจะมีพระแท่นดงรังประดิษฐานอยู่ในวิหารพระแท่นซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาสูงกว่าพื้นดินประมาณ 1 เมตร ด้านในกำแพงแก้วทางมุมตะวันออกเฉียงเหนือของวิหารพระแท่นก็มีวิหารเล็กๆที่เรียกกันว่าวิหารพระอานนท์และในบริเวณใกล้เคียงกันนี้แต่เป็นด้านนอกกำแพงแก้วเป็นที่ตั้งของวิหารพระทรมานกายซึ่งเป็นที่เก็บพระพุทธรูปปางทุกขกิริยา

ด้านหลังของทรัพทย์มีหินลักษณะคล้ายบ่อน้ำกว้างประมาณ 20 cm ลึกประมาณ 75 เซนติเมตรเป็นสถานที่ที่คนทั่วไปเรียกว่าบ้วนพระโอษฐ์ ส่วนที่สูงที่สุดของภูเขาประมาณ 55 เมตรจากระดับน้ำทะเลมีบันไดก่ออิฐถือปูนเป็นขั้นขั้นลาดตั้งแต่เชิงเขาถึงยอดเขานับได้ 94 ขั้นยอดเขามีมณฑป 12 เหลี่ยม กว้างยาวประมาณ 3 วา ยอดมณฑปแหลมคล้ายพระเมรุมีประตู 2 ประตู

ภายในวิหารทางทิศตะวันออกของประเทศมีหินก้อนหนึ่งซึ่งกล่าวกันว่าเป็นที่บดยาถวายพระพุทธเจ้าชาวบ้านที่มานมัสการพระแท่นดงรังจะใช้ก้อนหินนี้เป็นที่บดยารับประทานกันเป็นจำนวนมากบางคนก็นำสมุนไพรมาบดแล้วนำกลับไปฝากญาติพี่น้องก็มี

ภายในป่าต้นรังซึ่งอยู่ห่างจากพระแท่นไปทางทิศใต้ประมาณ 200 เมตรมีบ่อลึกอยู่ 1 บ่ปากบ่อก่อด้วยอิฐโบราณเป็นคันสำหรับกั้นดินพังทับปากบ่อมีเรื่องเล่าต่อมาว่า  บ่อแห่งนี้เป็นปล่องพญานาค สำหรับพญานาคที่จะขึ้นมานมัสการเชิงตะกอนที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้าบนเขาถวายพระเพลิงแต่ครั้งโบราณ ถ้าท่านได้มีโอกาสไปนมัสการพระแท่นดงรังระหว่างช่วงเทศกาลซึ่งจะจัดประมาณกลางเดือน 4 ของทุกปีคงจะนึกประหลาดใจอยู่มิใช่น้อยที่เห็นผู้คนจากทุกภาคของประเทศหลั่งไหลเข้ามากันบูชาพระแท่นจนดูประหนึ่งว่าคนเหล่านี้จะพากันมาชมงานมหกรรมครั้งมโหฬาร

เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
หากใช้ความสังเกตให้ดีแล้วจะพบว่าโดยส่วนรวมของคนไทยเป็นจำนวนมากยังมีความเลื่อมใสศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และของขลัง พระแท่นดงรังก็คงจะไม่พ้นกรณีนี้ไปได้ สาเหตุแห่งความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนน่าจะเกิดขึ้นเพราะเสียงเล่าลือความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบันทึกเรื่องอภินิหารของพระแท่นไว้ว่า ชาวอินเดียคนหนึ่งที่มาเที่ยวได้ขึ้นไปนอนเล่นบนพระแท่นและได้ถึงแก่ความตายเพราะเลือดออกทางปากและจมูก

น้ำจากที่บ้วนพระโอษฐ์เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถรักษาโรคตาแดงได้

หินบดยาที่อยู่ในศาลานอกกำแพงถ้านำไปบดใบไม้ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ชนิดใดก็ตาม ใบไม้ที่บดจะกลายเป็นยาทั้งนั้น

น้ำมันที่ตามตะเกียงในพระวิหารพระแท่นก็เป็นน้ำมันมนต์ไม่ว่าจะทาแผลที่ใดก็เป็นหายหมด

เวลาขึ้นเขาถวายพระเพลิงถ้านับขั้นบันไดได้เท่าใดผู้นั้นก็จะมีอายุเท่ากับขั้นบันไดที่นับได้

หลังมณฑปหลังเขาถวายพระเพลิงจะเป็นบริเวณเมืองลับแลถ้าเดินออกไปแล้วจะหาทางกลับมายังที่เดิมไม่ได้

ปัจจุบันความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และของขลังของคนลดน้อยลงแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีผลพลอยให้ความศรัทธาของคนลดลงตามไปด้วยจำนวนผู้คนที่พากันไปนมัสการพระแท่นดงรังมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกปี ส่วนสาเหตุสำคัญที่ทำให้ปูชนียสถานแห่งนี้ทรงความศักดิ์สิทธิ์อยู่ได้ตลอดมาคงจะเป็นเพราะพระแท่นดงรังนี้สมมุติเป็นเสมือนสถานที่นิพพานของพระพุทธเจ้าที่สามารถน้อมจิตใจพุทธศาสนิกชนให้รำลึกถึงพระพุทธประวัติตอนปัจฉิมมกาญได้เป็นอย่างดี และในประเทศไทยก็มีสถานที่เช่นนี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้นก็คือพระแท่นดงรัง