5 อันดับผีตามความเชื่อของคนอีสาน
อันดับที่ 5 ผีฟ้า
ตามความเชื่อของชาวอีสาน ผีฟ้าก็นั้นก็คือเทวดารูปหนึ่งที่มีอำนาจทุกอย่างบนท้องฟ้า อาจจะให้ดีหรือร้ายแก่มนุษย์ก็ได้ ซึ่งหัวหน้าใหญ่ของผีฟ้าก็คือพญาแถน ผีฟ้าจะให้คุณกับบุคคลที่เชื่อและศรัทธากับผีฟ้า ซึ่งมีดังนี้ มาจากการที่ผีฟ้าเลือกเอง จากการมองเห็นนิมิตร มาจากการที่เป็นหนี้บุญคุณผีฟ้า เช่นช่วยในการทำให้หายป่วย มาจากการสืบทอดบรรพบุรุษ คือ มีการสืบทอดในตระกูล แต่หากผู้ใดที่ทำผิดครูจะถูกสาปให้กลายเป็นปอบ
อันดับที่ 4 ผีเป้า
มีลักษณะคล้ายกับผีปอบ แต่จะเป็นในผู้ชาย ผีเป้าเกิดจากการที่คนๆ นั้นเรียนวิชาอาคม แล้วไม่สามารถที่จะรักษาวิชาอาคมนั้นเอาไว้ได้ มีอีกความเชื่อหนึ่งว่าผีเป้าเกิดจากคนที่ชอบกินของสุกๆ ดิบๆ ด้วยเหตุนี้คนอีสานจึงมักสอนลูกๆ ไม่ให้กินของสุกๆ ดิบๆ เพราะจะกลายเป็นผีเป้า ผีเป้านั้นมักจะไม่สู้คน เมื่อออกหากินก็มักจะพกของมีค่าไว้เสมอ เพราะหากไปเจอคนก็จะถูกจับได้ว่าเป็นผีเป้า จึงต้องพกของมีค่าเหล่านี้เอาไว้ติดสินบนหรือเป็นค่าปิดปาก เมื่อโดนจับได้จะไม่โดนขับไล่เหมือนกับผีปอบ แต่จะโดนรังเกียจแทน เพราะผีเป้านั้นไม่ทำร้ายคน ลักษณะองผีเป้านั้นจะมีแสงอยู่ที่ปลายจมูก แต่พอเมื่อเจอคน แสงนั้นจะดับลงไปทันที ในตอนกลางวันผีเป้าจะเป็นเหมือนนปกิทั่วไป แต่พอตกกลางคืนผีเป้าที่สิงอยู่ในร่างนั้นจะมีอาการหิวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ และจะออกไปหากบกินตามทุ่งนา แต่ถ้าหากบไม่ได้ก็จะไปจับไก่ในเล้าแทน ชาวบ้านจึงมักจะไปดักจับผีเป้าตามทุ่งนาเพื่อหวังะรับเงินสินบนนั่นเอง
อันดับที่ 3 ผีแม่ม่าย
ผีแม่ม่ายจัดอยู่ในผีประเภทบังบด หรือเป็นมนุษย์ในอีกมิติหนึ่ง เมืองที่ผีบังบดอยู่นั้นนิยมเรียกว่าเมืองลับแล ว่ากันว่าเมืองนี้มีแต่แม่ม่าย ทุกคนล้วนแล้วแต่สวยงาม ผีตนนี้จะออกเที่ยวในยามค่ำคืนเพื่อหลอกล่ชายหนุ่มให้ไปเป็นสามีทีละหนึ่งคน โดยผีแม่ม่ายจะหลอกล่อจิตวิญญาณของคนๆ นั้นขณะนอนหลับ เมื่อดวงวิญญาณติดตามผีแม่ม่ายไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เมื่อร่างของเรานั้นไม่มีดวงวิญญาณก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หรือพูดง่ายๆ ว่าหากดวงวิญญาณของเราถูกผีแม่ม่ายหลอกล่อไปแล้วจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกคือตายนั่นเอง หากครอบครัวใดมีผู้ชายที่ไม่อยากให้ตกเป็นเหยื่อผีแม่ม่าย ให้นำหุ่นรูปผู้ชายไว้ที่หน้าบ้าน เมื่อผีแม่ม่ายจะมาเอาไปเป็นสามี ผีแม่ม่ายจะคิดว่าหุ่นนั้นเป็นชายหนุ่ม และก็จะเอาหุ่นนั้นไปแทน ว่ากันว่าผีแม่ม่ายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาวจึงมีความ้องการทางเพศสูงมาก หากจะให้ได้ผลดีขึ้นให้นำปลัดขิกทาสีแดงตั้งไว้คู่กับหุ่น
อันดับที่ 2 ผีจ้างหนัง
เรื่องผีจ้างหนังเป็นเรื่องเล่าที่เล่ากันว่า เรื่องเกิดเมื่อตอนปีพุทธศักราช 2532 มีคนว่าจ้างให้หนังเร่ไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งอำเภอบ้านดุง ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 100 กิโลเมตร โดยค่าจ้างนั้น ที่ตกลงกันอยู่ที่ 4,000 บาท ฉายหนังสามถึงสี่เรื่อง โดยให้ฉายช่วงเวลาสามทุ่มถึงตีสี่ พอถึงตีสี่ต้องเก็บข้าวของให้หมดก่อนที่จะสว่าง ทางหนังเร่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะเป็นความ้องการของผู้ว่าจ้าง ถึงเวลาเริ่มฉายหนังตอนสามทุ่มก็มีผู้หญิงชุดขาวนั่งอยู่ข้างหนึ่ง และมีผู้ชายชุดดำนั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง ไม่ว่าหนังฉายไปแบบไหน คนเหล้านั้นก็เพียงแต่มองดูไปเฉยๆ นิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เมื่อถึงตอนเวลาตีสี่ ก็มีนมาบอกหนังเร่ว่าให้รีบเก็บข้าวของแล้วให้ออกไปทันทีและห้ามหันหลังกลับมาดู ทางฝ่ายหนังเร่ก็รีบเก็บข้าวเก็บของเตรียมกลับบ้าน ในระหว่างนั้นทางฝ่ายหนังเร่ก็สงสัยกันว่า ทำไมจะต้องห้ามหันหลังกลับมาดูด้วย จึงได้ลองหันหลังกลับไป พวกผู้คนที่มาดูกันหลายคนก็ต่างหายไปหมด เหลือเพียงป่าทึบๆ ให้เห็นเท่านั้น
อันดับที่ 1 ผีปอบ
ปอบเป็นผีที่คนไทยรู้จักมากที่สุด ผีปอบนิสัยจะคล้ายๆ กับผีเป้า แต่จะนิสัยแย่กว่ามากๆ และจะสิงอยู่ในตัวผู้หญิงมากกว่า ของกินของผีปอบก็เหมือนกับผีเป้าคือของสุกๆ ดิบๆ ผีปอบจะแบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
ประเภทที่ 1 ปอบที่สืบทอดมาเป็นวงศ์ระกูล ซึ่งจะสืบทอดกันทางเลือดและน้ำลาย ชาวอีสานจะชอบเคี้ยวข้าวแล้วป้อนให้ลูกกินที่เรียกกันว่าข้าวย้ำ จึงทำให้เด็กที่กินนั้นติดเชื้อปอบไปโดยปริยาย ปอบที่ติดต่อกันทางสายเลือดนั้นะมีนิสัยดุร้ายไม่มาก หลบๆ ซ่อนๆ ไม่สุงสิงกับใคร
ประเภทที่ 2 ปอบเวทย์ ปอบประเภทนี้เกิดจากผู้ที่มีวิชาอาคมแล้วผิดคำสั่งห้ามของครูอาจารย์ ทำให้กลายเป็นปอบ โดยส่วนมากจะเกิดกับคนที่โลภมากแล้วเก็บค่าครูเกินที่กำหนด เพราะในอดีตคนโบราณะเห็นน้ำใจนั้นดีกว่าเงิน เมื่อเรียกเก็บค่าครูจะเรียกพอประมาณ ไม่ละโมบเรียกเก็บมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ปอบที่ผิดครูจะมีนิสัยดุร้ายมากและเป็นปอบที่มีคนรู้จักกันมากที่สุด
ประเภทที่ 3 ปอบเลี้ยง ปอบประเภทนี้เกิดจากวิชาอาคมของหมอผี ที่อัญเชิญผีห่า ดวงวิญญาณผีมาสิงอยู่ในกรวยดอกไม้หรือหุ่นอาคมที่ทำขึ้น เกิดเป็นปอบที่มีแต่สิ่งชั่วร้ายมารวมเป็นตัวเดียวกัน ส่วนมากปอบประเภทนี้จะถูกนำมาเลี้ยงไว้ใช้งานแต่ต้องมีของเซ่นไหว้ด้วย หากไม่ทำการเซ่นไหว้ วิชาอาคมจะเข้าแทรกซ้อนตัวจนทำให้เป็นบ้าและเสียชีวิตได้ ปอบชนิดนี้จะมีความดุร้ายมากและฉลาดอีกด้วย พวกมันจะไม่กินของสุกๆดิบๆ เหมือนปอบประเภทอื่น และจะบำเพ็ญจนวิชาอาคมแก่กล้าอีกด้วย
ประเภทที่ 4 ปอบเจ้า เป็นราชาของปอบทั้งมวล คือเป็นผีปอบที่ผ่านการขับไล่ของหมอผีมาแล้ว ปอบประเภทนี้คือปอบหนึ่งในสามประเภทข้างต้นที่ถูกทำร้ายกักขังจนเกิดการอาฆาตแค้น เมื่อถูกปลดปล่อยจะเข้าสิงสัตว์และมนุษย์และะกินทกอย่างที่ขวางหน้ารวมทั้งตับไตไส้พุง เมื่อปอบตัวนี้เข้าไปอยู่ที่บ้านใด บรรดาไก่เป็ดที่เลี้ยงไว้จะหมดเล้าภายในคืนเดียว เมื่อบ้านใดที่ไก่ถูกกินนหมดเล้าจะเรียกว่าห่าลง
ที่มา ยำสยอง Youtube Channel
สยองขวัญ
จัดอันดับ
ที่มา ยำสยอง Youtube Channel
บทความแนะนำ
ขายการ์ตูนออนไลน์ TikTok
อ่านการ์ตูนออนไลน์ TikTok
อ่านการ์ตูน TikTok
มังงะออนไลน์ TikTok
อ่านมังงะออนไลน์ TikTok
การ์ตูนวังวนปรารถนา TikTok
การ์ตูนโรแมนติก TikTok
ขายการ์ตูนหมึกจีน TikTok
การ์ตูนนางฟ้าซาตาน TikTok
แกล้งจุ๊บให้รู้ว่ารัก TikTok
การ์ตูนแกล้งจุ๊บให้รู้ว่ารัก TikTok
เกมรักพยาบาท TikTok
GOLD รักนี้สีทอง TikTok
เกาะนางพญาเงือก TikTok
หนุ่มสุดขั้วบวกสาวสุดขีด TikTok
วังวนปรารถนา TikTok
คุณหนูไฮโซโยเยรัก TikTok
เจ้าหญิงซ่าส์กับนายหมาบ้า TikTok
รักทั้งตัวและหัวใจ TikTok
หัวใจไม่ร้างรัก TikTok
เหิรฟ้าไปคว้ารัก TikTok
บินไปกับหัวใจสีชมพู TikTok
princessหมึกจีน TikTok
ฝ่าไปให้ถึงฝัน TikTok
หวานใจองค์ชายมองโกล TikTok
หน้ากากนักสืบ TikTok
ราศีมรณะ TikTok
THE B.B.B. ลงเอยที่ความรัก TikTok
เกียรติยศรัก TikTok
SAINT ADAM มารยาปรารถนา TikTok
หนุ่มยักษ์รักสุดฤทธิ์ TikTok
รักแรกแสนรัก TikTok
รอรักสาวซากุระ TikTok
รักโฮ่งๆ ตกลงมั้ย TikTok
หนุ่มนักนวดนิ้วทอง TikTok
รักแบบนี้...กิ๊กเลย TikTok
ขอแก้เผ็ดหนุ่มหลายใจ TikTok
บอดี้การ์ดเจ้าปัญหา TikTok
อ้อมกอดทะเลทราย TikTok
การ์ตูนรอรักในฝัน TikTok
การ์ตูนหัวใจร่ำหารัก TikTok
อุ่นไอรักหนุ่มออฟฟิศ TikTok
การ์ตูนสองสาวสองรัก TikTok
การ์ตูนรอเธอบอกรัก TikTok
การ์ตูนรักระแวง TikTok
การ์ตูนสุดแต่ใจของเธอ TikTok
การ์ตูนหนามชีวิต TikTok
ยอดรักเพชรในดวงใจ TikTok
การ์ตูนวังวนในหัวใจ TikTok
การ์ตูนรักแรกฝังใจ TikTok
การ์ตูนกับดักหัวใจ TikTok
การ์ตูนคุณชายที่รัก TikTok
อ้อมกอดดาวเคล้าเกลียวคลื่น TikTok
การ์ตูนเจ้าสาวเงินตรา TikTok
การ์ตูนเพลงรักสองเรา TikTok
การ์ตูนมนต์รักลมหนาว TikTok
การ์ตูนโอมเพี้ยงเสี่ยงรัก TikTok
ครูจอมซ่าส์หรือนายขาโจ๋ TikTok
เล่ห์รักปักหัวใจ TikTok
การ์ตูนคู่รักนิรันดร TikTok
การ์ตูนชะตารัก TikTok
แฝดหนุ่มมะรุมมะตุ้มรัก TikTok
รูมินเทพบุตรซาตาน TikTok
รักเทวดาท่าจะวุ่น TikTok
รวมเรื่องสั้นMiwa Sakai TikTok
Hot Love หมึกจีน TikTok
การ์ตูนผีกุกกัก TikTok
คุณหนูกับทาสหนุ่ม TikTok
การ์ตูนเธอคือนางเอก TikTok
หนุ่มเซ่อเจอสาวแซ่บ TikTok
Extra Romance หมึกจีน TikTok
เว็บขายการ์ตูนออนไลน์ TikTok
กระบวนการผลิตชีส ลักษณะของชีสชนิดต่างๆ
กระบวนการผลิตชีส ลักษณะของชีสชนิดต่างๆ
เอานมมา ใส่แบคทีเรียลงไปอีกนิด เชื้อราอีกหน่อย ตัวร้ายอีกเล็กน้อย ชีสคือวิธีอย่างหนึ่งในการถนอมอาหารไม่ให้เน่าเสีย แล้วเราก็จะได้ความอร่อยที่คนกินเท่าไหร่ก็ไม่พอ จากทุ่งเลี้ยงวัวไปสู่พิซซ่า จากโรคฟอร์ท (Roquefort) ไปถึงเวลวีต้า (Velveeta) ไม่ว่าคุณจะหั่นหรือว่าราดมันคือหนึ่งในการถนอมอาหารที่ซับซ้อนที่สุดของมนุษย์อย่างหนึ่ง
รถบรรทุกมาถึงก่อนรุ่งสาง ถังเหล็กส่องประกายแวววับ แต่ละถังมีปริมาตร 600 แกลลอน เลื่อนเข้าสู่สายพานผลิต มันคือโรงกลั่นอย่างหนึ่งแต่ของที่ทำไม่ใช่น้ำมันหรือว่าก๊าซแต่เป็นนม ที่โรงงานอัลโต้แดรี่ วิสคอนซิน วันปกติจะมีนมประมาณ 3,500,000 ปอนด์มาส่งที่โรงงานหรือประมาณ 70 รถบรรทุก อัลโต้แดรี่จะทำนม 3,500,000 ปอนด์นี้เปลี่ยนให้เป็นชีส 400,000 ปอนด์ทุกวัน นมร้อยละ 90 ที่ผลิตได้ในวิสคอนซินจะกลายเป็นชีส และชีสของวิสคอนซินร้อยละ 10 ถูกผลิตจากโรงงานแห่งนี้ อัลโต้แดรี่โรงงานทำชีสที่ใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของมิสซิสซิปปี้ ตั้งแต่โรงงานใหญ่โตไปจนถึงฟาร์มเล็กๆ การทำชีสคือศาสตร์และศิลป์และงานฝีมือ ทั้งยังเป็นความสัมพันธ์ระหว่างที่ดิน สัตว์ และเทคนิค
อัลโต้แดรี่ก็เช่นเดียวกับโรงงานทำชีสอื่นๆ ชีสดีๆ เริ่มต้นจากนมบริสุทธิ์เข้มข้น สิ่งแรกที่ทำเวลารถบรรทุกนมเข้ามาคือ เจ้าหน้าที่จะเปิดฝาเพื่อนำตัวอย่างนมมาตรวจหาสารปฏิชีวนะ เมื่อห้องแล็บตรวจแล้วพวกเขาก็จะติดท่อเข้าไปเพื่อสูบนมออกมาจากถังไปเก็บไว้ในแท้งค์นมขนาดยักษ์ของโรงงาน เมื่อการผลิตชีสเริ่มขึ้นนมจะถูกส่งไปฆ่าเชื้ออย่างรวดเร็วที่อุณหภูมิประมาณ 162 องศาฟาเรนไฮต์เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียทั้งหมด จากนั้นมันจะถูกส่งไปหม้อทำชีส ที่แปลกก็คือขั้นตอนต่อไปที่สำคัญที่สุดในการทำชีสทุกชนิด ตั้งแต่ชีสสดชนิดเหลวไปจนถึงพาร์มิซานที่ต้องบ่ม นั่นก็คือการใส่เชื้อแบคทีเรีย เป็นที่ทราบกันว่าแบคทีเรียชนิดดีจะเป็นตัวบ่มชีส
เราต้องใส่แบคทีเรียชนิดดีลงไป และมันจะเป็นการเริ่มกระบวนการบ่ม สิ่งที่มันทำคือแบคทีเรียมันจะเริ่มกินแลคโตสหรือน้ำตาลนม ขณะที่แบคทีเรียที่ได้รับความช่วยเหลือจากความร้อนและการกวนที่พอเหมาะ กินน้ำตาลและหมักพวกมันเป็นกรดแลคติก พวกมันลดค่า pH ของนม นี่จะทำให้ชีสมีกลิ่นและรสฉุนเปรี้ยวในที่สุด ค่า pH ที่ลดลงจะทำให้โปรตีนนมแข็งเป็นก้อน ที่โรงงานอัลโต้นมพวกนี้จะถูกทำให้กลายเป็นเชดดาห์ชีส ดังนั้นก่อนที่นมจะแข็งเป็นก้อน คนทำชีสจะใส่สีย้อมที่ทำจากพืชที่เรียกว่าชาดลงไปเพื่อให้เชดดาห์ชีสมีสีส้มอันเป็นเอกลักษณ์
การแข็งเป็นก้อนที่แท้จริงเกิดขึ้นเพราะเอนไซม์มหัศจรรย์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าเรนเน็ต (Rennet) แม้คนทำชีสปัจจุบันมักใช้เรนเน็ตที่สังเคราะห์จากพืช แต่ในอดีตมันถูกนำมาจากในกระเพาะของสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่นวัวหรือแกะ ภายในเวลาแค่สามสิบนาที เรนเน็ตเพียงเล็กน้อยก็เปลี่ยนนมหม้อใหญ่นี้ให้กลายเป็นก้อนเหนียวเหมือนโยเกิร์ต นมประมาณ 55,000 ปอนด์จะใช้เรนเน็ตแค่ประมาณ 70 ออนซ์เท่านั้น จากนั้นมีดอัตโนมัติจะหั่นพวกมันเป็นชิ้นแข็งๆ ที่เรียกว่า เคิร์ด (Curd) ส่วนของเหลวที่คัดออกมาเรียกว่า หางนม (Whey หรือ Milk Serum) นี่คือลักษณะสากลอย่างหนึ่งของการทำชีส ที่โรงนมไม่ว่าทั้งใหญ่และเล็ก ขนาดของเคิร์ดจะเป็นตัวกำหนดเนื้อและปริมาณความชื้นของชีส ยิ่งเคิร์ดมีขนาดบางเท่าไหร่ หางนมที่คั้นออกมาได้ก็ยิ่งมาก เชดดาห์ชีสจะถูกตัดจนบางเฉียบ มันจะได้เป็นชีสเนื้อแน่นที่แห้งสนิท
ต่อมาเราจะล้างเคิร์ด ซึ่งต้องลดอุณหภูมิลงเพื่อชะลอปฏิกิริยาของแบคทีเรียและขจัดแหล่งอาหารของพวกมันด้วยการล้างแลคโตสออกไปบ้าง จากนั้นเราจะทำให้เค็มด้วยการใส่เกลือซึ่งไม่เพียงเพื่อเพิ่มรสชาติให้ชีสแต่ยังเป็นการควบคุมแบคทีเรียอีกทางหนึ่งด้วย จากนั้นเคิร์ดจะถูกส่งไปยังจุดอัดชีส ซึ่งมันจะถูกส่งลงไปในแม่พิมพ์ที่รู้จักกันในวงการว่า "640" ซึ่งก็คือแม่พิมพ์ชีสขนาด 640 ปอนด์นั่นเอง แม่พิมพ์จะถูกส่งลงไปในเครื่องอัดไล่น้ำและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที หลังจากทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วตัวอัดไล่น้ำจะกดลงมา แรงอัดทั้งหมดจะรีดเอาหางนมออกไปอีก แม่พิมพ์แต่ละชิ้นจะกดอัดประมาณ 8 นาที ด้วยแรงอัด 5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI = Pounds per Square Inch)
เครื่องพลังไฮดรอลิคนี้ใช้สำหรับอัดชีสในระดับอุตสาหกรรม ส่วนคนทำชีสทั่วไปใช้วิธีง่ายๆ มานับพันปี คือใช้แรงคนรีดเอาหางนมออกไป แม่พิมพ์ถูกส่งไปอัดต่อในห้องสูญญากาศ พอเวลาผ่านไปชิ้นเคิร์ดจะหลอมรวมกันเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า เชดดาห์ชีส ขณะเดียวกันลึกลงไปในชีส แบคทีเรียที่เป็นตัวบ่มจะทำให้น้ำตาลนมแตกตัวเป็นกรดแลคติกที่มีกลิ่นฉุน ส่วนโปรตีนจะกลายเป็นสารประกอบที่มีรสฉุนจัดค่อยๆ เพิ่มรสชาติให้กับชีส และทั้งหมดนั้นคือขั้นตอนการทำชีสเพื่อถนอมนมไว้ไม่ให้เน่าเสีย เราทำให้โมเลกุลนมแตกตัวเป็นโมเลกุลที่แยกย่อยลงไปอีก การบ่มชีสส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นห่างจากโรงงานอัลโต้แดรี่ ซึ่งจะบ่มชีสในห้องเย็นประมาณ 10 วัน ก่อนที่จะเอาออกจากแม่พิมพ์ไปสู่พ่อค้าคนกลาง เป็นที่มาของ อิงลิชฟาร์มเฮ้าส์เชดดาห์แบบดั้งเดิมที่มากด้วยปริมาณและเทคโนโลยี
คนทำชีสในโลกนี้ผลิตชีสได้ปีละ 20 ล้านตัน มากกว่ายาสูบ เมล็ดกาแฟ ใบชาและเมล็ดโกโก้รวมกันทั้งโลก เพราะชีสไม่สามารถชั่งตวงวัดเป็นปริมาณเพียงอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของความชื่นชอบ ความหลงใหลไม่มีวันจบสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชีสกลิ่นฉุนอย่าง บรีเดอมัวร์ (Brie de Meaux) หรือชีสในชีสเบอร์เกอร์ ในฐานะอาหารพกพาที่เต็มไปด้วยโปรตีน มันยังเป็นส่วนสำคัญในการอยู่รอดของมนุษย์อีกด้วย
เรารับรองได้เลยว่ามีการทำชีสในนครบาธมากว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว โดยเฉพาะในแถบที่เรารู้จักในปัจจุบันว่าเป็นประเทศตุรกี อิหร่าน ซีเรีย อาจจะหลายพันปีก่อนมีนครบาธด้วยซ้ำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือกากแห้งๆ ที่นักโบราณคดีขุดพบในหม้อดินเผาในบริเวณที่ปัจจบันคืออียิปต์ ซึ่งมีอายุประมาณ 2-3 พันปีก่อนคริสตกาลตามการตรวจอายุด้วยเครื่องตรวจคาร์บอน
ระหว่างการคาดเดาประวัติศาสตร์ของผู้รู้กับตำนานคือทฤษฎีที่ว่ามันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ต้องขอบคุณคนเลี้ยงแกะเร่ร่อนที่บังเอิญเอานมแกะใส่ถุงที่ทำจากกระเพาะแพะหรือแกะ ขณะที่พวกเขาพกถุงนม นมเกิดปฏิกิริยากับเยื่อบุกระเพาะซึ่งมีเชื้อเรนเน็ตอยู่ด้วย และทำให้มันกลายเป็นเคิร์ดแยกตัวกับหางนม ถ้าเราอัดเคิร์ดพวกนี้เข้าด้วยกัน มันก็คือชีส มีการคิดค้นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำมาตลอด 5-8 พันปี จนกลายมาเป็นชีสในปัจจุบันที่นิยมกันอย่างแพร่หลายเพราะมันเป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่งและมันเก็บได้นาน
ชีส 1 ออนซ์ มีโปรตีนเป็น 7 เท่าของนม 1 ออนซ์ และมีแคลเซียมมากกว่า 5 เท่า ชีสยังให้พลังงานจากไขมันที่เข้มข้นด้วย ซึ่งร้อยละ 40-50 ของน้ำหนักที่ปราศจากน้ำคือไขมัน แต่เดิมชีสโบราณทำจากนมของผู้ร่วมทางอย่างแพะ มีการเลี้ยงแพะมากว่า 7,000 ปีแล้ว พวกมันก็คือสัตว์ชนิดแรกๆ ที่มนุษย์เลี้ยง จึงมีความเป็นไปได้ว่าชีสนมแพะอาจจะเป็นชีสชนิดแรกที่ถูกทำขึ้นบนโลก ในมหากาพย์โอดิสซี่ย์ของโฮเมอร์ เป็นมหากาพย์แห่งอารยธรรมตะวันตก ซึ่งคาดว่าโฮเมอร์แต่งเรื่องนี้เมื่อ 800 ปีก่อนคริสตกาล บางส่วนในเรื่องได้พูดถึงไซคลอปส์ยักษ์ตาเดียวที่เลี้ยงแกะเอาไว้ เขากวนนมแพะและนมแกะเพื่อทำเป็นเคิร์ด รีดน้ำจากชีสในตะกร้าที่สานแน่นแล้วบ่มพวกมันในถ้ำ
วิธีทำชีสนมแพะพัฒนาต่อไป ไม่เพียงในกรีซแต่ยังเผยแพร่ไปทั่วเมดิเตอร์เรเนียน รวมทั้งที่เรดวู้ดฮิลฟาร์ม ทางเหนือของแคลิฟอร์เนีย ในการทำเฟต้าชีสของที่นี่ มีนมหนึ่งพันแกลลอนในเครื่องบ่ม ใส่เรนเน็ต แล้วสักพักมันก็จะเซ็ตตัวเป็นลิ่มก้อนเหมือนเต้าหู้หรือเจลลี่ คนทำชีสหั่นเคิร์ดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมค่อนข้างใหญ่และแยกมันจากหางนม จากนั้นก็ใส่เคิร์ดลงในแม่พิมพ์ มันอัดแน่นเข้าด้วยกันปละกลายเป็นชีสชิ้นหนึ่ง ที่นี่จะไม่กดอัดด้วยเครื่องจักร พอทิ้งไว้หนึ่งคืนพวกมันจะได้ที่ พอพรุ่งนี้เช้าก็จะใส่ก้อนเคิร์ดนี้ลงในน้ำเกลือสมุทร
คุณค่าของชีสในฐานะที่น้ำหนักเบาเป็นอาหารที่เก็บได้นาน เพิ่มขึ้นเมื่อวัฒนธรรมเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะโรมันทำให้ศิลปะการทำชีส เค็ม แข็ง มีขนาดใหญ่ขึ้น เก็บได้นานและพกพาได้ง่าย มีทหารโรมันมากมายที่ต้องกินอาหาร และชีสก็เป็นอาหารอย่างหนึ่งของพวกเขา ดังนั้นพวกทหารโรมันไม่ว่าจะไปที่ไหนจะไปหาฝูงวัว ฝูงแพะหรือแกะ อะไรก็ได้ที่มี จากนั้นก็รีดนมมาทำชีส ชีสโรมันที่โดดเด่นที่สุดตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันก็คือชีสนมแกะแห้งๆ มันๆ ที่แข็งมาก ซึ่งเราเรียกว่าโรมาโน่เปโคริโน (Romano Pecorino) แปลว่าชีสที่ทำจากนมแกะจากแถบโรม
ชีสแข็งอิตาลีที่ยอดเยี่ยมอย่าง กราน่า ปาดาโน่ (Grana Padano) กับ พาร์มิจิอาโน่ เร็จจิอาโน่ (Parmigiano Reggiano) ถูกทำต่อเนื่องมาราวๆ พันปี หรืออาจนานกว่านั้น ชาวโรมันไม่ใช่พวกเดียวที่ทำแผ่นชีสบ่มใหญ่ๆ แข็งๆ ต้นศตวรรษที่ 11 สูงขึ้นไปบนแอลป์ของสวิส คนเลี้ยงสัตว์ต้อนสัตว์ในฤดูร้อนตามลำพังให้พวกมันหากินหญ้าสมุนไพรหวานๆ บนภูเขาแล้วผลิตชีสแข็งก้อนใหญ่อย่าง กรูแยร์ (Gruy?re cheese) อาหารสำคัญที่ช่วยให้อยู่รอดผ่านฤดูหนาวอันโหดร้าย สวิสผลิตกรูแยร์อย่างต่อเนื่องมาอย่างน้อยหนึ่งพันปีแล้ว การคิดค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้เต็มไปด้วยรู ทำไมจึงมีรูในชีสสวิส และนักบวชในยุคกลางที่ดื่มเหล้าจัด สร้างสรรค์ชีสที่ดีที่สุดและกลิ่นฉุนที่สุดในโลกได้อย่างไร
เมื่อก้าวเข้าไปในร้านชีสระดับโลก ก็เหมือนก้าวเข้าไปในยันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ยังมีลมหายใจ ที่ๆ รวมชีสกลิ่นฉุนๆ ที่ดีที่สุดในโลกไว้อย่างแปลกประหลาด ไม่ว่าจะเป็นร้านชีสที่เป็นมิตรและมีชื่อเสียงในแคลิฟอร์เนียหรือเบเวอร์ลี่ฮิลล์ หรือตลาดแฟร์เวย์ที่คราคร่ำ ห่างออกไปสามพันไมล์ที่นครนิวยอร์ค เราเกือบจะจัดอันดับร้านชีสดีๆ ได้จากกลิ่นที่เวลาเดินเข้าไปในร้าน ถ้าไม่มีกลิ่นเหม็นฉุน คุณก็เข้าร้านผิดแล้ว
ชีสมีกลิ่นเหม็นฉุนเพราะการทำงานของแบคทีเรียและเชื้อรา ซึ่งทำให้ไขมันและโปรตีนแตกตัวเป็นองค์ประกอบที่ระเหยง่าย อย่างแอมโมเนียและไฮโดรเจนซัลไฟด์ อันเป็นที่มาของกลิ่นแรงๆ ชีสที่เหม็นฉุนที่สุดถูกทำขึ้นโดยนักบวชแบ๊บติสต์และเบเนดิกทีน (Baptist and Benedictine) ในยุคกลางซึ่งนำความคิดสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยมที่นำไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการทำชีสนั่นก็คือการบ่ม
ชีสที่เหม็นฉุนนั้นเพราะพวกมันถูกล้างน้ำมาอีกที พวกนักบวชเรียนรู้ว่าถ้าถูผิวหน้าของชีส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชีสนมวัว การล้างด้วยน้ำเปล่า น้ำเกลือ ไวน์ เบียร์ บรั่นดี หรืออาจจะเป็นน้ำองุ่นจะเป็นการให้อาหารแก่แบคทีเรียธรรมชาติที่อยู่นอกชีส ในอากาศ รวมทั้งในเนื้อชีสได้ทำงานเพื่อบ่มชีส นักบวชเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโลกโบราณหรือยุคกลาง พวกเขาทำให้การทำชีสนี้ยังคงอยู่ มันคือศิลปะ
ชีสมองต์เดอแคทส์ (Mont des Cats) เป็นชีสดั้งเดิมที่นักบวชยุคนั้นทำขึ้น มันกินแกล้มเนื้อแห้ง เบียร์และบทสวดสักสองบท ชีสนี้เหมาะมากๆ เอามากินแกล้มเบียร์อร่อยกว่าชีสที่มีเนื้อแข็งๆ พวกนักบวชก็เลยคิดสูตรชีสที่เหนียว เนื้อละเอียดและอร่อยมากๆ กินกับขนมปังดำและเบียร์ที่แรงๆ อาหารที่กินในสมัยนั้นทำให้พวกเขาแข็งแรงมากๆ
อีกหนึ่งตำนานของชีสสูตรแบ๊บติสต์คือชีสลิมเบอร์เกอร์กลิ่นฉุนที่โด่งดัง ที่สหกรณ์ชาเลตชีส มอนโร วิสคอนซิน นักทำชีส มารอน โอลสัน ทำชีสวิธีเดียวกับที่นักบวชทำมากว่า 1 ศตวรรษ เมื่อเคิร์ดแข็งตัวแล้วก็คลุกด้วยเกลือ จากนั้นก็ส่งไปยังห้องบ่มเพื่อให้ได้แบคทีเรียอันเป็นเอกลักษณ์ พรมน้ำไปบนผิวชีส มันคือน้ำผสมเกลือที่มีแบคทีเรียชนิดพิเศษ จากนั้นก็จะลวกมันและทำแต่ละด้านให้เป็นสี่เหลี่ยมสุดปลายก้อนชีส แบคทีเรียจะเริ่มเติบโต ทำให้โปรตีนในชีสแตกตัว เปลี่ยนมันจากชีสร่วนๆ ที่เป็นกรดมากให้กลายเป็นชีสนุ่มๆ มันทำให้ด้านนอกของชีสนิ่มเข้าไปถึงด้านใน ลิมเบอร์เกอร์อาจไม่ใช่ชีสพรมน้ำที่กลิ่นแรงที่สุด แต่มันอาจเป็นกลิ่นประเภทที่คนจำได้ เพราะบรีวีแบคทีเรียม (Brevibacterium) ในชีสลิมเบอร์เกอร์เป็นแบคทีเรียชนิดเดียวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลิ่นตัวของคนเรา ที่โรงงานของสหกรณ์ชาเลตชีสใช้แบคทีเรียชนิดเดียวกันนี้จากแผ่นไม้สนในห้องบ่มตั้งแต่ต้นปี 1900 ปัจจุบันชาเลตชีตคือบริษัทเดียวที่ผลิตลิมเบอร์เกอร์ในสหรัฐ แต่ต้นศตวรรษที่ 20 ลิมเบอร์เกอร์ได้รับความนิยมอย่างมาก
ถ้าคุณคิดว่าการทาแบคทีเรียเป็นวิธีที่น่ารังเกียจในการบ่มชีส คุณอาจอยู่ให้ห่างจากมิโมเล็ตต์ (Mimolette Cheese) เนยแข็งที่ถูกบ่มด้วยมูลชองไรในโพรงไม้ มันเป็นชีสโปรดของชาร์ล เดอ กูล (Charles de Gaulle) อดีตประธานาธิบดีของฝรั่งเศส ถ้าเราดูที่ผิวจะเห็นตัวไรที่กินเข้าไปในผิวเหมือนตามด มันมีผลทำให้รสชาติแปลกออกไป เนื้อชีสจะค่อนข้างอ่อนอยู่กึ่งกลางระหว่างเชดดาห์กับอีดาม (Edam Cheese) สิ่งมีชีวิตที่นิยมใช้ในการบ่มชีสมากกว่าก็คือรา ราบนชีสถูกเพาะมาอย่างดี ไม่เหมือนที่ขึ้นตามห้องใต้ดินอับๆ
ในตระกูลเดียวกับบรี ชีสนมแพะที่เต็มไปด้วยรานี้เรียกว่า โครติน (crottin cheese) กับ คามิลเลีย (camilia) ถูกบ่มอยู่ที่เร้ดวู้ดฮิลล์ฟาร์ม ช่วงแรกของการผลิต คนทำชีสใส่การผลิตชีส ลงในนม ระหว่างขั้นตอนการบ่ม ราจะขึ้นอยู่บนผิวหน้าชีส เพราะมันต้องการอากาศ ชีสจะถูกเปลี่ยนองค์ประกอบ ราจะทำให้ไขมันเนยแตกตัวไปด้วย มันจะหมักชีสจากด้านนอกเข้าไปด้านใน คาเมมเบิร์ต (Camembert Cheese) กับ บรี (Brie Cheese) ถึงได้มีขอบหนืดๆ มันจะถูกหมักไปเรื่อยๆ จนกว่าชั้นในสุดจะเหลวเหมือนกัน
ชีสหนืดที่มีชื่อเสียงที่สุดคือชีสสีฟ้าอย่างสติลตัน (Stilton) ของอังกฤษ กอกอนโซล่า (Gogonzola) ของอิตาลี และโดยเฉพาะ โรคฟอร์ท (Roquefort) ของฝรั่งเศส ตามที่เล่ากันมานมแกะสีฟ้าถูกบ่มในถ้ำที่ชื่อว่าโรคฟอร์ทและมีราขึ้นตามเนื้อชีส โรคฟอร์ทคือชีสนมแกะสีฟ้าที่ทำกันในแคว้นโอแวร์ญ (Auvergne) ของฝรั่งเศส มันคือนมแกะแท้ๆ และถูกบ่มอยู่ในถ้ำ พอถึงจุดนึงชีสจะขึ้นรา พอปาดออกอากาศจะเข้าไปและทำให้ราสีฟ้าเจริญเติบโต มันคือราสีฟ้าที่เรียกว่า เพนิซิเลียมโรคฟอร์ท ชีสโรคฟอร์ทไม่เหมือนใครเลย มันไม่เหมือนชีสสีฟ้าอื่นๆ
ชีสที่มีเอกลักษณ์อีกชนิดหนึ่งคือชีสเอ็มเมนทอลที่ทำในสวิสเซอร์แลนด์ แล้วรูพวกนี้ในชีสสวิสนี้มาจากไหนล่ะ ในการทำชีสสวิสในขั้นตอนแรกๆ จะใส่แบคทีเรียชนิดพิเศษลงไป มันชื่อว่าแบคทีเรียโพรพิโอนิก ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติในนมจะเติบโตในห้องบ่มที่อุ่นกว่าปกติ พอมันทำให้ชีสอุ่น แบคทีเรียโพรพิโอนิกก็จะเริ่มเติบโต พวกมันจะก่อตัวเป็นหย่อมเล็กๆ หย่อมพวกนี้จะเริ่มสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์นี้จะดันให้ชีสโป่งเกิดเป็นรูด้านในชีส เจ้าแบคทีเรียชนิดนี้ยังทำให้เกิดรสชาติที่เราเรียกกันว่าเป็นรสชาติแบบสวิส
รสชาติคือสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดของชีส ขอต้อนรับเข้าสู่โลกของชีสแปรรูป ชีสที่ผ่านกระบวนการแล้วอาจแปรรูปได้หลายอย่าง อาจจะเป็นชีสแผ่นแบนๆ ไปจนถึงชีสที่เป็นครีมซอส มันถูกปรุงแต่งด้วยสารต่างๆ แล้วนำมาคืนรูปใหม่ ชีสที่ได้มีอายุที่นานกว่าตามธรรมชาติ ละลายได้สม่ำเสมอกว่าและผลิตได้ประหยัดกว่า เราพบกระบวนการนี้ได้ที่วิโนน่าฟู้ดส์ กรีนเบย์ วิสคอนซิน ที่โรงงานแห่งนี้ผลิตชีสแปรรูปหลายชนิด รวมทั้งชีสซอสแบบเป็นขวด มันมีตราสินค้าเป็นรูปวัวบนกระป๋อง ชีสแปรรูปจะเริ่มจากชีสธรรมชาติอย่างเชดดาห์หรือโคลบี้ ที่โรงงานวิโนน่าแห่งนี้ เชดดาห์ชีสสีขาวก้อนละ 40 ปอนด์ถูกบด เป้าหมายคือเพื่อเพิ่มพื้นผิวให้สารเคมีแปรรูปแทรกซึมเข้าเนื้อชีสให้ได้มากที่สุดในหม้อผสม ที่จะใส่สารอิมัลซิไฟเออร์ ผงหางนม ไขมัน และน้ำ ผสมจนชีสมีเนื้อเหนียวข้น
ส่วนประกอบสำคัญในชีสแปรรูปทุกชนิดก็คือสารอิมัลซิไฟเออร์ที่จะทำให้มันรวมเข้ากับสารอื่นเป็นเนื้อเดียวกันทำให้ไขมันกระจายตัวและไม่แยกชั้นกันกับผงหางนมโปรตีนที่ใส่เข้ามาแม้เวลาจะผ่านไปและทำให้มันมีเนื้อนุ่มเนียน ส่วนผสมถูกหลอมและคนอยู่ตลอดเวลา มันคือขั้นตอนสำคัญอย่างหนึ่งในการขึ้นรูปให้เนื้อชีส เนื้อของมันเกือบจะเหมือนพลาสติกภายในหม้อผสมที่มีอุณหภูมิร้อนมากๆ
ชีสแปรรูปชนิดแรกถูกวางจำหน่ายในปี 1915 โดยชายผู้ที่ประทับใจประวัติของชีสมากกว่าใครๆ เขาคือ เจมส์ แอล คราฟท์ อาชีพทำชีสของคราฟท์เริ่มต้นในชิคาโกในปี 1903 ในตอนแรกเขาลงทุน 65 เหรียญสหรัฐกับม้าและรถเทียมม้า จากนั้นก็เริ่มส่งชีสไปยังร้านของชำในท้องถิ่น แต่คราฟท์ไม่พอใจกับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในขณะนั้น มันไม่มีความเสถียรในแง่ของรสชาติและคุณภาพของชีสและยังมีปัญหากับอายุการเก็บที่สั้นอีกด้วย
ปี 1911 เริ่มทดลองทำชีสที่ฆ่าเชื้อด้วยความร้อนซึงสามารถขายเป็นกระป๋อง แต่ความร้อนทำให้ไขมันและโปรตีนแยกตัวกัน ในที่สุดคราฟท์ก็พบว่าการคนอย่างสม่ำเสมอและการใช้สารอิมัลซิไฟเออร์แก้ปัญหานี้ได้ ในไม่ช้าคราฟท์ก็ได้ออเดอร์ล็อตใหญ่ เขาได้ทำการเซ็นสัญญาว่าจะส่งชีสที่ไม่เน่าเสีย 6 ล้านปอนด์ให้กับกองทัพสหรัฐระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และนี่ก็คือสัญญาฉบับสำคัญที่ช่วยให้เจมส์ แอล คราฟท์พัฒนาธุรกิจของเขาขึ้นมา ธุรกิจกลายเป็นอาณาจักรอย่างรวดเร็ว ปี 1923 ทำบริษัทชีสที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากนั้นในปี 1928 คราฟท์ก็วางตลาดก้อนชีสนุ่มๆ สีทองที่มีชื่อแสนไพเราะว่าเวลวีต้า (Velveeta)
สิ่งที่เวลวีต้าไม่เหมือนกับชีสอื่นๆ ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า หางนมที่ถูกแยกออกไปตอนทำชีสถูกนำมาใส่กลับเข้ามาตอนแปรรูป และสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พบนั้นทำให้ชีสมีเนื้อครีมที่แปลกใหม่และคุณค่าทางสารอาหารที่ได้เพิ่มขึ้น และไม่น่าเชื่อว่าร้อยละ 30 ของชีสที่ผลิตทั่วอเมริกานั้นคือชีสของคราฟท์ วิศวกรของคราฟท์ยังนำเทคโนโลยีหลักๆ ทั้งหมดมาใช้ในการผลิตชีสแปรรูป รวมทั้งหม้อที่กวนชีสได้อย่างต่อเนื่องก็ยังถูกใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน เท่านั้นยังไม่พอ นักวิทยาศาสตร์ของคราฟท์ยังคิดค้นการผลิตครีมชีสที่ไฮเทคจนน่าประหลาดใจ
ในยุค 1940 ออสการ์ เจ ลิ้งค์ ได้ผลิตเครื่องแยกครีมเพื่อทำครีมชีส ซึ่งทำให้เราแยกหางนมออกจากครีมชีสได้ภายใน 15 วินาที แทนที่จะเป็นชั่วโมงๆ เหมือนเมื่อก่อน เขายังคิดค้นหม้อต้มพิเศษที่ทำให้เรายืดอายุของสินค้าออกไปได้ถึง 120 วัน ครีมชีสคือชีสธรรมชาติไม่ใช่ชีสแปรรูป แต่การทำให้เนื้อครีมชีสนั้นสมบูรณ์แบบได้นั้นไม่ธรรมดาเลย และมันทำโดยไม่ใช้ครีม มันทำโดยการใช้ให้แบคทีเรียค่อยๆ จัดเรียงประจุไฟฟ้าที่มีอยู่ในนม ประจุไฟฟ้าที่มีในนมอยู่แล้วจะเป็นประจุลบเป็นส่วนใหญ่ มันจึงผลักกันเองและไม่เข้าใกล้กันและกัน นมจึงอยู่ในสภาพของเหลวไม่เป็นเจล แต่เมื่อเราใส่แบคทีเรียลงไป มันจะสร้างกรดบางอย่างและเปลี่ยนกลุ่มประจุไฟฟ้าในโปรตีนให้กลายเป็นประจุบวก ทีนี้พวกมันก็จะเริ่มดึงดูดกันและติดกัน เมื่อประจุมีความสมดุล ส่วนผสมข้นๆ จึงอยู่ในสภาพครีมโดยสมบูรณ์ไม่เหลวไม่แข็ง ณ จุดนั้นมันจะถูกให้ความร้อนอย่างรวดเร็วเพื่อฆ่าแบคทีเรียให้มันหยุดทำงานและก่อตัวเป็นครีมชีส
ในปี 1940 นอร์แมน คราฟท์ น้องชายของเจมส์ ออกแบบระบบกระบอกเย็นที่ไม่เหมือนใคร เพื่อทำผลิตภัณฑ์ที่เขาคิดเอาไว้มาหลายปี ชีสแผ่นสำเร็จรูป ชีสที่ผ่านการให้ความร้อนมาแล้วจะไหลเข้าไปในกระบอกที่ทำความเย็นขนาดใหญ่ มันจะสร้างแผ่นชีสที่เย็นตัวลงอย่างรวดเร็วและแผ่นนั้นก็จะถูกตัดออกเป็นริ้วอย่างรวดเร็ว และจะถูกตัดขวางอีกทีเพื่อให้มีขนาดเป็นสี่เหลี่ยมที่ใส่พอดีกับขนมปัง ซึ่งปกติจะผลิตออกมาเป็นปึกๆ ละ 8 แผ่น จากนั้นก็บรรจุหีบห่อ ฟังดูแล้วเหมือนมันง่าย แต่ก็ถือว่านอร์แมน คราฟท์นั้นเข้าใจคิดมากในยุคนั้น ในที่สุดเมื่อชีสแผ่นนี้ถูกวางจำหน่ายใน ปี 1950 มันเป็นสิ่งที่ฮือฮามาก จากนั้นก็กลายเป็นสินค้าสำคัญจนเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นชีสอเมริกัน ปัจจุบันชีสแต่ละแผ่นยังคงถูกหั่นมาจากโรงงานคราฟท์ จากรายงานประจำปี ชีสของคราฟท์สามารถผลิตได้ถึง 7,200 ล้านแผ่น ปี 1952 คราฟท์วางตลาด Whiz Cheese ชีสแปรรูปความชื้นสูงชนิดทาที่สามารถทาได้เรียบเนียนมากขึ้น
ความสุขของคนนับไม่ถ้วนคือพิซซ่าร้อนๆ เคล็ดลับของมันก็คือมอซซาเรลล่าชีสนั่นเอง มันคือชีสที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอเมริกาจากการนิยมทานพิซซ่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนอเมริกันทานพิซซ่าวันละประมาณ 100 เอเคอร์ ถ้านับตลอดทั้งปีมันก็เป็นพื้นที่ที่สามารถครอบคลุมได้ทั้งแมนฮัตตันด้วยพิซซ่าหนาสองชั้น กลับไปที่อัลโต้แดรี่จากวิสคอนซิน พวกเขาผลิตชีสมอซซาเรลล่าจากนมวัวตลอด 24 ชัวโมง พวกเขาผลิตมอซซาเรลล่าได้ประมาณวันละ 250,000 ปอนด์ ถ้าทั้งปีก็ประมาณ 96 ล้านปอนด์ และในหนึ่งวันสามารถผลิตมอซซาเรลล่าสำหรับใส่พิซซ่าได้ประมาณ 500,000 ถาด
มอซซาเรลล่าเป็นที่รู้จักในฐานะ พาสต้าฟิลาต้า หรือชีสที่สามารถยืดได้ เครื่องจักรที่เรียกว่าคุ๊กเกอร์สเตร็ทเชอร์ (Cooker Stretcher) จะให้ความร้อนกับก้อนเคิร์ด 136 องศาเพื่อละลายมัน การนวดด้วยเครื่องจักรเพื่อเปลี่ยนเคิร์ดเหลวๆ ให้กลายเป็นชีสยืดๆ พอมันออกจากเครื่องผสมและเตาให้ความร้อน มันจะมีเนื้อที่เหนียวหนืดมากๆ ต่อมาเคิร์ดร้อนๆ นี้ถูกเทลงในแม่พิมพ์ เพื่อรักษาเนื้อนุ่มๆ หยุ่นๆ ของมอสซาเรลล่าไว้ ก้อนที่ขึ้นรูปแล้วจะถูกแช่ลงในน้ำเกลือเย็นๆ การแช่น้ำเกลือ 4 ชั่วโมงหยุดกระบวนการบ่มของมันไว้ เมื่อเย็นลงแล้วก้อนมอซซาเรลล่าจะถูกบรรจุลงหีบห่อและถูกบ่มไปอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นชีสจำนวนมาหจะไหลออกมาตามเครื่องตัดและเข้าไปอยู่ในถุงสูญญากาศขนาด 5 ปอนด์ แล้วมันก็จะถูกส่งไปอยู่ตามหน้าพิซซ่าที่อยู่ในเตาอบ
เพื่อให้มอซซาเรลล่าเกรียมนิดหน่อยและยืดได้อย่างสมบูรณ์ คนทำชีสไม่เพียงต้องละละลายและยืดเคิร์ดเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องทำให้แบคทีเรียที่เป็นตัวบ่ม ทำให้โปรตีนนมและแคลเซียมที่เกาะกันอยู่หนาๆ แตกตัวด้วย เพราะแคลเซียมคือกาวที่ยึดโครงสร้างของโปรตีนนมในชีสไว้ด้วยกัน ถ้าเราไม่กำจัดกาวนั้นด้วยกรดระหว่างกระบวนการผลิต ชีสที่ได้ก็จะมีเนื้อทึบๆ ไม่หยุ่นหรือยืด แต่ถ้ากำจัดออกไปทั้งหมดมันก็จะไม่เกาะกันเป็นก้อน
มอซซาเรลล่าแบบดั้งเดิมนั้นทำมาจากนมควาย เมื่อพวกโกธส์ (Goths) นำควายมาจากแคว้น นาเปลส์ (Naples) ช่วงต้นยุคกลาง คนทำชีสอิตาเลียนก็ทำมอซซาเรลล่าดีบูฟาล่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นมควายมีรสชาติหวาน มันและค่อนข้างเข้มข้น มันเหมาะสำหรับการทำมอซซาเรลล่าสดที่ต่างจากชีสสำหรับทำพิซซ่าชนิดอื่นคือมันไม่ได้บ่ม มีความชื้นสูงกว่า มีไขมันสูงกว่า และสามารถกินได้ทันที บริษัทชีสเล็กๆ ในแคลิฟอร์เนียที่ชื่อ Bubalus bubalis ตามชื่อวิทยาศาสตร์ของควายผลิตมอซซาเรลล่าสดได้ 600 ปอนด์ทุกวัน เท่ากับที่อัลโต้แดรี่ผลิตได้ใน 4 นาที เมื่อใส่ก้อนเคิร์ดมอซซาเรลล่าลงในเครื่อง Cooker Stretcher แล้ว สัญชาติญาณและประสบการณ์ของคนทำชีสคือทุกสิ่งทุกอย่าง คนทำชีสใส่น้ำร้อนประมาณ 200 องศาลงไปเพื่อให้เคิร์ดนุ่มและยืดได้อีกครั้ง จากนั้นก็ใส่เกลือและให้เครื่องจักรยืดไปจนกว่ามันเหนียวพอที่จะเอามาปั้นเป็นลูกบอลได้
มือกลอัตโนมัติของเครื่อง Cooker Stretcher จำลองมือมนุษย์ที่เป็นเครื่องมือเก่าแก่เพื่อยืดดึงมอซซาเรลล่าสด มอซซาเรลล่านั้นหมายถึงตัดได้ด้วยมือ เพราะคำว่า Mozzare ในภาษาอิตาเลียนนั้นแปลว่าตัด พอเครื่องปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วก็จะช็อคมันด้วยน้ำเกลือเย็นจัด ที่โรงงาน Bubalus bubalis ยังผลิตรีค็อตต้านมควายอีกด้วย รีค็อตต้าไม่เหมือนชีสชนิดอื่นเพราะมันทำมาจากหางนมคัดทิ้งทั้งหมด แทนที่จะเป็นเคิร์ด
หางนมคือสิ่งที่เหลือหลังจากได้เคิร์ดแล้ว ซึ่งยังมีโปรตีนเหลืออยู่มาก และจะเอาหางนมนี้ไปใส่ในถังแยกต่างหากเพื่อทำ รีค็อตต้า (Ricotta) และจะต้มมันจนมีอุณหภูมิ 198 องศา จากนั้นก็จะใส่เกลือและกรดซิตริกลงไปนิดหน่อย โปรตีนซึ่งอยู่ในหางนมนั้นก็จะจับตัวเป็นก้อนอีกครั้ง แยกชั้นออกมาจากของเหลว ก็ช้อนออกมาใส่บรรจุภัณฑ์
หางนมไม่เพียงเอามาทำเป็นรีค็อตต้าเท่านั้น มันถูกจัดว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูง และนำมาผลิตให้เป็นผงเพื่อทำเวย์โปรตีนสำหรับนักกีฬาที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ที่โรงงานของอัลโต้แดรี่มีเครื่องทำผงหางนมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มันสามารถผลิตผงหางนมได้ประมาณ 12,000 ปอนด์ต่อชั่วโมง หางนมที่เป็นของเหลวจะถูกฉีดผ่านหัวพ่นสวนผ่านลมร้อนเพื่อให้ความชื้นระเหยออกไปแล้วตกลงมากลายเป็นผง ผงหางนมประกอบด้วยโปรตีนประมาณร้อยละ 12 ที่เหลือส่วนใหญ่คือน้ำตาลนมกับแร่ธาตุเช่นแคลเซียมหรือแมกนีเซียม อดีตของเหลือทิ้งนี้จะถูกผสมเข้ากับอาหารนับไม่ถ้วนตั้งแต่ขนมปังไปจนถึงไส้กรอก ในบรรดาคุณประโยชน์มากมาย หางนมทำหน้าที่เป็นสารให้ความหวาน โดยให้โปรตีนและแร่ธาตุสำคัญด้วย
หางนมไม่ใช่แค่อาหารเพื่อฟื้นฟูสุขภาพเท่านั้นมันยังมีคุณสมบัติของอาหารที่มีในชีสอีกด้วย ชีสมีไขมันมาก แต่นักวิทยาศาสตร์จากวิสคอนซินในศูนย์วิจัยค้นคว้าด้านการผลิตนมร่วมงานกับฟาร์มนมและคนทำชีสเพื่อกลั่นสารอาหารที่ดีกว่านั้นจากไขมัน โดยเพิ่มระดับไขมันโอเมก้า 3 ของชีสซึ่งเป็นไขมันดี พวกเขาเพิ่มระดับโอเมก้า 3 ในชีสด้วยวิธีการ 2 อย่าง อย่างแรกคือการให้อาหารที่ดีกับวัวที่รีดนม อย่างเมล็ดของต้นป่าน อีกวิธีหนึ่งก็คือผสมสารที่ได้จากทะเลไม่ว่าจะได้จากปลาหรือสาหร่าย นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิธีแยกกลิ่นคาวต่างๆ ออกจากปลาได้ หรือแม้กระทั่งการผสมสารที่เป็นโปรไบโอติกลงในชีส ที่ทำให้มันมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร
แม้จะมีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีสก็ยังจะถูกปรับแต่งวิธีการผลิตโดยความคิดสร้างสรรค์ของคนทำชีสแต่ละคนต่อไป ชีสจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับผืนดิน และสัตว์อันเป็นแหล่งที่มาของมัน อาหารที่วัว ควาย แกะ แพะกิน สารอาหารที่ถุกแปลงเป็นน้ำนม กลายเป็นไขมัน แล้วกลายเป็นชีส ทำให้ชีสมีความซับซ้อนและมีลักษณะของมันเอง มันน่ามหัศจรรย์มาก มันอยู่กับเรามานานเหตุผลเพราะว่า มันเป็นอาหารที่ดี พระเจ้าสร้างมนุษย์ มนุษย์สร้างชีส
บทความแนะนำ
เอานมมา ใส่แบคทีเรียลงไปอีกนิด เชื้อราอีกหน่อย ตัวร้ายอีกเล็กน้อย ชีสคือวิธีอย่างหนึ่งในการถนอมอาหารไม่ให้เน่าเสีย แล้วเราก็จะได้ความอร่อยที่คนกินเท่าไหร่ก็ไม่พอ จากทุ่งเลี้ยงวัวไปสู่พิซซ่า จากโรคฟอร์ท (Roquefort) ไปถึงเวลวีต้า (Velveeta) ไม่ว่าคุณจะหั่นหรือว่าราดมันคือหนึ่งในการถนอมอาหารที่ซับซ้อนที่สุดของมนุษย์อย่างหนึ่ง
รถบรรทุกมาถึงก่อนรุ่งสาง ถังเหล็กส่องประกายแวววับ แต่ละถังมีปริมาตร 600 แกลลอน เลื่อนเข้าสู่สายพานผลิต มันคือโรงกลั่นอย่างหนึ่งแต่ของที่ทำไม่ใช่น้ำมันหรือว่าก๊าซแต่เป็นนม ที่โรงงานอัลโต้แดรี่ วิสคอนซิน วันปกติจะมีนมประมาณ 3,500,000 ปอนด์มาส่งที่โรงงานหรือประมาณ 70 รถบรรทุก อัลโต้แดรี่จะทำนม 3,500,000 ปอนด์นี้เปลี่ยนให้เป็นชีส 400,000 ปอนด์ทุกวัน นมร้อยละ 90 ที่ผลิตได้ในวิสคอนซินจะกลายเป็นชีส และชีสของวิสคอนซินร้อยละ 10 ถูกผลิตจากโรงงานแห่งนี้ อัลโต้แดรี่โรงงานทำชีสที่ใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของมิสซิสซิปปี้ ตั้งแต่โรงงานใหญ่โตไปจนถึงฟาร์มเล็กๆ การทำชีสคือศาสตร์และศิลป์และงานฝีมือ ทั้งยังเป็นความสัมพันธ์ระหว่างที่ดิน สัตว์ และเทคนิค
อัลโต้แดรี่ก็เช่นเดียวกับโรงงานทำชีสอื่นๆ ชีสดีๆ เริ่มต้นจากนมบริสุทธิ์เข้มข้น สิ่งแรกที่ทำเวลารถบรรทุกนมเข้ามาคือ เจ้าหน้าที่จะเปิดฝาเพื่อนำตัวอย่างนมมาตรวจหาสารปฏิชีวนะ เมื่อห้องแล็บตรวจแล้วพวกเขาก็จะติดท่อเข้าไปเพื่อสูบนมออกมาจากถังไปเก็บไว้ในแท้งค์นมขนาดยักษ์ของโรงงาน เมื่อการผลิตชีสเริ่มขึ้นนมจะถูกส่งไปฆ่าเชื้ออย่างรวดเร็วที่อุณหภูมิประมาณ 162 องศาฟาเรนไฮต์เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียทั้งหมด จากนั้นมันจะถูกส่งไปหม้อทำชีส ที่แปลกก็คือขั้นตอนต่อไปที่สำคัญที่สุดในการทำชีสทุกชนิด ตั้งแต่ชีสสดชนิดเหลวไปจนถึงพาร์มิซานที่ต้องบ่ม นั่นก็คือการใส่เชื้อแบคทีเรีย เป็นที่ทราบกันว่าแบคทีเรียชนิดดีจะเป็นตัวบ่มชีส
เราต้องใส่แบคทีเรียชนิดดีลงไป และมันจะเป็นการเริ่มกระบวนการบ่ม สิ่งที่มันทำคือแบคทีเรียมันจะเริ่มกินแลคโตสหรือน้ำตาลนม ขณะที่แบคทีเรียที่ได้รับความช่วยเหลือจากความร้อนและการกวนที่พอเหมาะ กินน้ำตาลและหมักพวกมันเป็นกรดแลคติก พวกมันลดค่า pH ของนม นี่จะทำให้ชีสมีกลิ่นและรสฉุนเปรี้ยวในที่สุด ค่า pH ที่ลดลงจะทำให้โปรตีนนมแข็งเป็นก้อน ที่โรงงานอัลโต้นมพวกนี้จะถูกทำให้กลายเป็นเชดดาห์ชีส ดังนั้นก่อนที่นมจะแข็งเป็นก้อน คนทำชีสจะใส่สีย้อมที่ทำจากพืชที่เรียกว่าชาดลงไปเพื่อให้เชดดาห์ชีสมีสีส้มอันเป็นเอกลักษณ์
การแข็งเป็นก้อนที่แท้จริงเกิดขึ้นเพราะเอนไซม์มหัศจรรย์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าเรนเน็ต (Rennet) แม้คนทำชีสปัจจุบันมักใช้เรนเน็ตที่สังเคราะห์จากพืช แต่ในอดีตมันถูกนำมาจากในกระเพาะของสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่นวัวหรือแกะ ภายในเวลาแค่สามสิบนาที เรนเน็ตเพียงเล็กน้อยก็เปลี่ยนนมหม้อใหญ่นี้ให้กลายเป็นก้อนเหนียวเหมือนโยเกิร์ต นมประมาณ 55,000 ปอนด์จะใช้เรนเน็ตแค่ประมาณ 70 ออนซ์เท่านั้น จากนั้นมีดอัตโนมัติจะหั่นพวกมันเป็นชิ้นแข็งๆ ที่เรียกว่า เคิร์ด (Curd) ส่วนของเหลวที่คัดออกมาเรียกว่า หางนม (Whey หรือ Milk Serum) นี่คือลักษณะสากลอย่างหนึ่งของการทำชีส ที่โรงนมไม่ว่าทั้งใหญ่และเล็ก ขนาดของเคิร์ดจะเป็นตัวกำหนดเนื้อและปริมาณความชื้นของชีส ยิ่งเคิร์ดมีขนาดบางเท่าไหร่ หางนมที่คั้นออกมาได้ก็ยิ่งมาก เชดดาห์ชีสจะถูกตัดจนบางเฉียบ มันจะได้เป็นชีสเนื้อแน่นที่แห้งสนิท
ต่อมาเราจะล้างเคิร์ด ซึ่งต้องลดอุณหภูมิลงเพื่อชะลอปฏิกิริยาของแบคทีเรียและขจัดแหล่งอาหารของพวกมันด้วยการล้างแลคโตสออกไปบ้าง จากนั้นเราจะทำให้เค็มด้วยการใส่เกลือซึ่งไม่เพียงเพื่อเพิ่มรสชาติให้ชีสแต่ยังเป็นการควบคุมแบคทีเรียอีกทางหนึ่งด้วย จากนั้นเคิร์ดจะถูกส่งไปยังจุดอัดชีส ซึ่งมันจะถูกส่งลงไปในแม่พิมพ์ที่รู้จักกันในวงการว่า "640" ซึ่งก็คือแม่พิมพ์ชีสขนาด 640 ปอนด์นั่นเอง แม่พิมพ์จะถูกส่งลงไปในเครื่องอัดไล่น้ำและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที หลังจากทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วตัวอัดไล่น้ำจะกดลงมา แรงอัดทั้งหมดจะรีดเอาหางนมออกไปอีก แม่พิมพ์แต่ละชิ้นจะกดอัดประมาณ 8 นาที ด้วยแรงอัด 5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI = Pounds per Square Inch)
เครื่องพลังไฮดรอลิคนี้ใช้สำหรับอัดชีสในระดับอุตสาหกรรม ส่วนคนทำชีสทั่วไปใช้วิธีง่ายๆ มานับพันปี คือใช้แรงคนรีดเอาหางนมออกไป แม่พิมพ์ถูกส่งไปอัดต่อในห้องสูญญากาศ พอเวลาผ่านไปชิ้นเคิร์ดจะหลอมรวมกันเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า เชดดาห์ชีส ขณะเดียวกันลึกลงไปในชีส แบคทีเรียที่เป็นตัวบ่มจะทำให้น้ำตาลนมแตกตัวเป็นกรดแลคติกที่มีกลิ่นฉุน ส่วนโปรตีนจะกลายเป็นสารประกอบที่มีรสฉุนจัดค่อยๆ เพิ่มรสชาติให้กับชีส และทั้งหมดนั้นคือขั้นตอนการทำชีสเพื่อถนอมนมไว้ไม่ให้เน่าเสีย เราทำให้โมเลกุลนมแตกตัวเป็นโมเลกุลที่แยกย่อยลงไปอีก การบ่มชีสส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นห่างจากโรงงานอัลโต้แดรี่ ซึ่งจะบ่มชีสในห้องเย็นประมาณ 10 วัน ก่อนที่จะเอาออกจากแม่พิมพ์ไปสู่พ่อค้าคนกลาง เป็นที่มาของ อิงลิชฟาร์มเฮ้าส์เชดดาห์แบบดั้งเดิมที่มากด้วยปริมาณและเทคโนโลยี
คนทำชีสในโลกนี้ผลิตชีสได้ปีละ 20 ล้านตัน มากกว่ายาสูบ เมล็ดกาแฟ ใบชาและเมล็ดโกโก้รวมกันทั้งโลก เพราะชีสไม่สามารถชั่งตวงวัดเป็นปริมาณเพียงอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของความชื่นชอบ ความหลงใหลไม่มีวันจบสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชีสกลิ่นฉุนอย่าง บรีเดอมัวร์ (Brie de Meaux) หรือชีสในชีสเบอร์เกอร์ ในฐานะอาหารพกพาที่เต็มไปด้วยโปรตีน มันยังเป็นส่วนสำคัญในการอยู่รอดของมนุษย์อีกด้วย
เรารับรองได้เลยว่ามีการทำชีสในนครบาธมากว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว โดยเฉพาะในแถบที่เรารู้จักในปัจจุบันว่าเป็นประเทศตุรกี อิหร่าน ซีเรีย อาจจะหลายพันปีก่อนมีนครบาธด้วยซ้ำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือกากแห้งๆ ที่นักโบราณคดีขุดพบในหม้อดินเผาในบริเวณที่ปัจจบันคืออียิปต์ ซึ่งมีอายุประมาณ 2-3 พันปีก่อนคริสตกาลตามการตรวจอายุด้วยเครื่องตรวจคาร์บอน
ระหว่างการคาดเดาประวัติศาสตร์ของผู้รู้กับตำนานคือทฤษฎีที่ว่ามันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ต้องขอบคุณคนเลี้ยงแกะเร่ร่อนที่บังเอิญเอานมแกะใส่ถุงที่ทำจากกระเพาะแพะหรือแกะ ขณะที่พวกเขาพกถุงนม นมเกิดปฏิกิริยากับเยื่อบุกระเพาะซึ่งมีเชื้อเรนเน็ตอยู่ด้วย และทำให้มันกลายเป็นเคิร์ดแยกตัวกับหางนม ถ้าเราอัดเคิร์ดพวกนี้เข้าด้วยกัน มันก็คือชีส มีการคิดค้นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำมาตลอด 5-8 พันปี จนกลายมาเป็นชีสในปัจจุบันที่นิยมกันอย่างแพร่หลายเพราะมันเป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่งและมันเก็บได้นาน
ชีส 1 ออนซ์ มีโปรตีนเป็น 7 เท่าของนม 1 ออนซ์ และมีแคลเซียมมากกว่า 5 เท่า ชีสยังให้พลังงานจากไขมันที่เข้มข้นด้วย ซึ่งร้อยละ 40-50 ของน้ำหนักที่ปราศจากน้ำคือไขมัน แต่เดิมชีสโบราณทำจากนมของผู้ร่วมทางอย่างแพะ มีการเลี้ยงแพะมากว่า 7,000 ปีแล้ว พวกมันก็คือสัตว์ชนิดแรกๆ ที่มนุษย์เลี้ยง จึงมีความเป็นไปได้ว่าชีสนมแพะอาจจะเป็นชีสชนิดแรกที่ถูกทำขึ้นบนโลก ในมหากาพย์โอดิสซี่ย์ของโฮเมอร์ เป็นมหากาพย์แห่งอารยธรรมตะวันตก ซึ่งคาดว่าโฮเมอร์แต่งเรื่องนี้เมื่อ 800 ปีก่อนคริสตกาล บางส่วนในเรื่องได้พูดถึงไซคลอปส์ยักษ์ตาเดียวที่เลี้ยงแกะเอาไว้ เขากวนนมแพะและนมแกะเพื่อทำเป็นเคิร์ด รีดน้ำจากชีสในตะกร้าที่สานแน่นแล้วบ่มพวกมันในถ้ำ
วิธีทำชีสนมแพะพัฒนาต่อไป ไม่เพียงในกรีซแต่ยังเผยแพร่ไปทั่วเมดิเตอร์เรเนียน รวมทั้งที่เรดวู้ดฮิลฟาร์ม ทางเหนือของแคลิฟอร์เนีย ในการทำเฟต้าชีสของที่นี่ มีนมหนึ่งพันแกลลอนในเครื่องบ่ม ใส่เรนเน็ต แล้วสักพักมันก็จะเซ็ตตัวเป็นลิ่มก้อนเหมือนเต้าหู้หรือเจลลี่ คนทำชีสหั่นเคิร์ดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมค่อนข้างใหญ่และแยกมันจากหางนม จากนั้นก็ใส่เคิร์ดลงในแม่พิมพ์ มันอัดแน่นเข้าด้วยกันปละกลายเป็นชีสชิ้นหนึ่ง ที่นี่จะไม่กดอัดด้วยเครื่องจักร พอทิ้งไว้หนึ่งคืนพวกมันจะได้ที่ พอพรุ่งนี้เช้าก็จะใส่ก้อนเคิร์ดนี้ลงในน้ำเกลือสมุทร
คุณค่าของชีสในฐานะที่น้ำหนักเบาเป็นอาหารที่เก็บได้นาน เพิ่มขึ้นเมื่อวัฒนธรรมเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะโรมันทำให้ศิลปะการทำชีส เค็ม แข็ง มีขนาดใหญ่ขึ้น เก็บได้นานและพกพาได้ง่าย มีทหารโรมันมากมายที่ต้องกินอาหาร และชีสก็เป็นอาหารอย่างหนึ่งของพวกเขา ดังนั้นพวกทหารโรมันไม่ว่าจะไปที่ไหนจะไปหาฝูงวัว ฝูงแพะหรือแกะ อะไรก็ได้ที่มี จากนั้นก็รีดนมมาทำชีส ชีสโรมันที่โดดเด่นที่สุดตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันก็คือชีสนมแกะแห้งๆ มันๆ ที่แข็งมาก ซึ่งเราเรียกว่าโรมาโน่เปโคริโน (Romano Pecorino) แปลว่าชีสที่ทำจากนมแกะจากแถบโรม
ชีสแข็งอิตาลีที่ยอดเยี่ยมอย่าง กราน่า ปาดาโน่ (Grana Padano) กับ พาร์มิจิอาโน่ เร็จจิอาโน่ (Parmigiano Reggiano) ถูกทำต่อเนื่องมาราวๆ พันปี หรืออาจนานกว่านั้น ชาวโรมันไม่ใช่พวกเดียวที่ทำแผ่นชีสบ่มใหญ่ๆ แข็งๆ ต้นศตวรรษที่ 11 สูงขึ้นไปบนแอลป์ของสวิส คนเลี้ยงสัตว์ต้อนสัตว์ในฤดูร้อนตามลำพังให้พวกมันหากินหญ้าสมุนไพรหวานๆ บนภูเขาแล้วผลิตชีสแข็งก้อนใหญ่อย่าง กรูแยร์ (Gruy?re cheese) อาหารสำคัญที่ช่วยให้อยู่รอดผ่านฤดูหนาวอันโหดร้าย สวิสผลิตกรูแยร์อย่างต่อเนื่องมาอย่างน้อยหนึ่งพันปีแล้ว การคิดค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้เต็มไปด้วยรู ทำไมจึงมีรูในชีสสวิส และนักบวชในยุคกลางที่ดื่มเหล้าจัด สร้างสรรค์ชีสที่ดีที่สุดและกลิ่นฉุนที่สุดในโลกได้อย่างไร
เมื่อก้าวเข้าไปในร้านชีสระดับโลก ก็เหมือนก้าวเข้าไปในยันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ยังมีลมหายใจ ที่ๆ รวมชีสกลิ่นฉุนๆ ที่ดีที่สุดในโลกไว้อย่างแปลกประหลาด ไม่ว่าจะเป็นร้านชีสที่เป็นมิตรและมีชื่อเสียงในแคลิฟอร์เนียหรือเบเวอร์ลี่ฮิลล์ หรือตลาดแฟร์เวย์ที่คราคร่ำ ห่างออกไปสามพันไมล์ที่นครนิวยอร์ค เราเกือบจะจัดอันดับร้านชีสดีๆ ได้จากกลิ่นที่เวลาเดินเข้าไปในร้าน ถ้าไม่มีกลิ่นเหม็นฉุน คุณก็เข้าร้านผิดแล้ว
ชีสมีกลิ่นเหม็นฉุนเพราะการทำงานของแบคทีเรียและเชื้อรา ซึ่งทำให้ไขมันและโปรตีนแตกตัวเป็นองค์ประกอบที่ระเหยง่าย อย่างแอมโมเนียและไฮโดรเจนซัลไฟด์ อันเป็นที่มาของกลิ่นแรงๆ ชีสที่เหม็นฉุนที่สุดถูกทำขึ้นโดยนักบวชแบ๊บติสต์และเบเนดิกทีน (Baptist and Benedictine) ในยุคกลางซึ่งนำความคิดสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยมที่นำไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการทำชีสนั่นก็คือการบ่ม
ชีสที่เหม็นฉุนนั้นเพราะพวกมันถูกล้างน้ำมาอีกที พวกนักบวชเรียนรู้ว่าถ้าถูผิวหน้าของชีส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชีสนมวัว การล้างด้วยน้ำเปล่า น้ำเกลือ ไวน์ เบียร์ บรั่นดี หรืออาจจะเป็นน้ำองุ่นจะเป็นการให้อาหารแก่แบคทีเรียธรรมชาติที่อยู่นอกชีส ในอากาศ รวมทั้งในเนื้อชีสได้ทำงานเพื่อบ่มชีส นักบวชเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโลกโบราณหรือยุคกลาง พวกเขาทำให้การทำชีสนี้ยังคงอยู่ มันคือศิลปะ
ชีสมองต์เดอแคทส์ (Mont des Cats) เป็นชีสดั้งเดิมที่นักบวชยุคนั้นทำขึ้น มันกินแกล้มเนื้อแห้ง เบียร์และบทสวดสักสองบท ชีสนี้เหมาะมากๆ เอามากินแกล้มเบียร์อร่อยกว่าชีสที่มีเนื้อแข็งๆ พวกนักบวชก็เลยคิดสูตรชีสที่เหนียว เนื้อละเอียดและอร่อยมากๆ กินกับขนมปังดำและเบียร์ที่แรงๆ อาหารที่กินในสมัยนั้นทำให้พวกเขาแข็งแรงมากๆ
อีกหนึ่งตำนานของชีสสูตรแบ๊บติสต์คือชีสลิมเบอร์เกอร์กลิ่นฉุนที่โด่งดัง ที่สหกรณ์ชาเลตชีส มอนโร วิสคอนซิน นักทำชีส มารอน โอลสัน ทำชีสวิธีเดียวกับที่นักบวชทำมากว่า 1 ศตวรรษ เมื่อเคิร์ดแข็งตัวแล้วก็คลุกด้วยเกลือ จากนั้นก็ส่งไปยังห้องบ่มเพื่อให้ได้แบคทีเรียอันเป็นเอกลักษณ์ พรมน้ำไปบนผิวชีส มันคือน้ำผสมเกลือที่มีแบคทีเรียชนิดพิเศษ จากนั้นก็จะลวกมันและทำแต่ละด้านให้เป็นสี่เหลี่ยมสุดปลายก้อนชีส แบคทีเรียจะเริ่มเติบโต ทำให้โปรตีนในชีสแตกตัว เปลี่ยนมันจากชีสร่วนๆ ที่เป็นกรดมากให้กลายเป็นชีสนุ่มๆ มันทำให้ด้านนอกของชีสนิ่มเข้าไปถึงด้านใน ลิมเบอร์เกอร์อาจไม่ใช่ชีสพรมน้ำที่กลิ่นแรงที่สุด แต่มันอาจเป็นกลิ่นประเภทที่คนจำได้ เพราะบรีวีแบคทีเรียม (Brevibacterium) ในชีสลิมเบอร์เกอร์เป็นแบคทีเรียชนิดเดียวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลิ่นตัวของคนเรา ที่โรงงานของสหกรณ์ชาเลตชีสใช้แบคทีเรียชนิดเดียวกันนี้จากแผ่นไม้สนในห้องบ่มตั้งแต่ต้นปี 1900 ปัจจุบันชาเลตชีตคือบริษัทเดียวที่ผลิตลิมเบอร์เกอร์ในสหรัฐ แต่ต้นศตวรรษที่ 20 ลิมเบอร์เกอร์ได้รับความนิยมอย่างมาก
ถ้าคุณคิดว่าการทาแบคทีเรียเป็นวิธีที่น่ารังเกียจในการบ่มชีส คุณอาจอยู่ให้ห่างจากมิโมเล็ตต์ (Mimolette Cheese) เนยแข็งที่ถูกบ่มด้วยมูลชองไรในโพรงไม้ มันเป็นชีสโปรดของชาร์ล เดอ กูล (Charles de Gaulle) อดีตประธานาธิบดีของฝรั่งเศส ถ้าเราดูที่ผิวจะเห็นตัวไรที่กินเข้าไปในผิวเหมือนตามด มันมีผลทำให้รสชาติแปลกออกไป เนื้อชีสจะค่อนข้างอ่อนอยู่กึ่งกลางระหว่างเชดดาห์กับอีดาม (Edam Cheese) สิ่งมีชีวิตที่นิยมใช้ในการบ่มชีสมากกว่าก็คือรา ราบนชีสถูกเพาะมาอย่างดี ไม่เหมือนที่ขึ้นตามห้องใต้ดินอับๆ
ในตระกูลเดียวกับบรี ชีสนมแพะที่เต็มไปด้วยรานี้เรียกว่า โครติน (crottin cheese) กับ คามิลเลีย (camilia) ถูกบ่มอยู่ที่เร้ดวู้ดฮิลล์ฟาร์ม ช่วงแรกของการผลิต คนทำชีสใส่การผลิตชีส ลงในนม ระหว่างขั้นตอนการบ่ม ราจะขึ้นอยู่บนผิวหน้าชีส เพราะมันต้องการอากาศ ชีสจะถูกเปลี่ยนองค์ประกอบ ราจะทำให้ไขมันเนยแตกตัวไปด้วย มันจะหมักชีสจากด้านนอกเข้าไปด้านใน คาเมมเบิร์ต (Camembert Cheese) กับ บรี (Brie Cheese) ถึงได้มีขอบหนืดๆ มันจะถูกหมักไปเรื่อยๆ จนกว่าชั้นในสุดจะเหลวเหมือนกัน
ชีสหนืดที่มีชื่อเสียงที่สุดคือชีสสีฟ้าอย่างสติลตัน (Stilton) ของอังกฤษ กอกอนโซล่า (Gogonzola) ของอิตาลี และโดยเฉพาะ โรคฟอร์ท (Roquefort) ของฝรั่งเศส ตามที่เล่ากันมานมแกะสีฟ้าถูกบ่มในถ้ำที่ชื่อว่าโรคฟอร์ทและมีราขึ้นตามเนื้อชีส โรคฟอร์ทคือชีสนมแกะสีฟ้าที่ทำกันในแคว้นโอแวร์ญ (Auvergne) ของฝรั่งเศส มันคือนมแกะแท้ๆ และถูกบ่มอยู่ในถ้ำ พอถึงจุดนึงชีสจะขึ้นรา พอปาดออกอากาศจะเข้าไปและทำให้ราสีฟ้าเจริญเติบโต มันคือราสีฟ้าที่เรียกว่า เพนิซิเลียมโรคฟอร์ท ชีสโรคฟอร์ทไม่เหมือนใครเลย มันไม่เหมือนชีสสีฟ้าอื่นๆ
ชีสที่มีเอกลักษณ์อีกชนิดหนึ่งคือชีสเอ็มเมนทอลที่ทำในสวิสเซอร์แลนด์ แล้วรูพวกนี้ในชีสสวิสนี้มาจากไหนล่ะ ในการทำชีสสวิสในขั้นตอนแรกๆ จะใส่แบคทีเรียชนิดพิเศษลงไป มันชื่อว่าแบคทีเรียโพรพิโอนิก ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติในนมจะเติบโตในห้องบ่มที่อุ่นกว่าปกติ พอมันทำให้ชีสอุ่น แบคทีเรียโพรพิโอนิกก็จะเริ่มเติบโต พวกมันจะก่อตัวเป็นหย่อมเล็กๆ หย่อมพวกนี้จะเริ่มสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์นี้จะดันให้ชีสโป่งเกิดเป็นรูด้านในชีส เจ้าแบคทีเรียชนิดนี้ยังทำให้เกิดรสชาติที่เราเรียกกันว่าเป็นรสชาติแบบสวิส
รสชาติคือสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดของชีส ขอต้อนรับเข้าสู่โลกของชีสแปรรูป ชีสที่ผ่านกระบวนการแล้วอาจแปรรูปได้หลายอย่าง อาจจะเป็นชีสแผ่นแบนๆ ไปจนถึงชีสที่เป็นครีมซอส มันถูกปรุงแต่งด้วยสารต่างๆ แล้วนำมาคืนรูปใหม่ ชีสที่ได้มีอายุที่นานกว่าตามธรรมชาติ ละลายได้สม่ำเสมอกว่าและผลิตได้ประหยัดกว่า เราพบกระบวนการนี้ได้ที่วิโนน่าฟู้ดส์ กรีนเบย์ วิสคอนซิน ที่โรงงานแห่งนี้ผลิตชีสแปรรูปหลายชนิด รวมทั้งชีสซอสแบบเป็นขวด มันมีตราสินค้าเป็นรูปวัวบนกระป๋อง ชีสแปรรูปจะเริ่มจากชีสธรรมชาติอย่างเชดดาห์หรือโคลบี้ ที่โรงงานวิโนน่าแห่งนี้ เชดดาห์ชีสสีขาวก้อนละ 40 ปอนด์ถูกบด เป้าหมายคือเพื่อเพิ่มพื้นผิวให้สารเคมีแปรรูปแทรกซึมเข้าเนื้อชีสให้ได้มากที่สุดในหม้อผสม ที่จะใส่สารอิมัลซิไฟเออร์ ผงหางนม ไขมัน และน้ำ ผสมจนชีสมีเนื้อเหนียวข้น
ส่วนประกอบสำคัญในชีสแปรรูปทุกชนิดก็คือสารอิมัลซิไฟเออร์ที่จะทำให้มันรวมเข้ากับสารอื่นเป็นเนื้อเดียวกันทำให้ไขมันกระจายตัวและไม่แยกชั้นกันกับผงหางนมโปรตีนที่ใส่เข้ามาแม้เวลาจะผ่านไปและทำให้มันมีเนื้อนุ่มเนียน ส่วนผสมถูกหลอมและคนอยู่ตลอดเวลา มันคือขั้นตอนสำคัญอย่างหนึ่งในการขึ้นรูปให้เนื้อชีส เนื้อของมันเกือบจะเหมือนพลาสติกภายในหม้อผสมที่มีอุณหภูมิร้อนมากๆ
ชีสแปรรูปชนิดแรกถูกวางจำหน่ายในปี 1915 โดยชายผู้ที่ประทับใจประวัติของชีสมากกว่าใครๆ เขาคือ เจมส์ แอล คราฟท์ อาชีพทำชีสของคราฟท์เริ่มต้นในชิคาโกในปี 1903 ในตอนแรกเขาลงทุน 65 เหรียญสหรัฐกับม้าและรถเทียมม้า จากนั้นก็เริ่มส่งชีสไปยังร้านของชำในท้องถิ่น แต่คราฟท์ไม่พอใจกับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในขณะนั้น มันไม่มีความเสถียรในแง่ของรสชาติและคุณภาพของชีสและยังมีปัญหากับอายุการเก็บที่สั้นอีกด้วย
ปี 1911 เริ่มทดลองทำชีสที่ฆ่าเชื้อด้วยความร้อนซึงสามารถขายเป็นกระป๋อง แต่ความร้อนทำให้ไขมันและโปรตีนแยกตัวกัน ในที่สุดคราฟท์ก็พบว่าการคนอย่างสม่ำเสมอและการใช้สารอิมัลซิไฟเออร์แก้ปัญหานี้ได้ ในไม่ช้าคราฟท์ก็ได้ออเดอร์ล็อตใหญ่ เขาได้ทำการเซ็นสัญญาว่าจะส่งชีสที่ไม่เน่าเสีย 6 ล้านปอนด์ให้กับกองทัพสหรัฐระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และนี่ก็คือสัญญาฉบับสำคัญที่ช่วยให้เจมส์ แอล คราฟท์พัฒนาธุรกิจของเขาขึ้นมา ธุรกิจกลายเป็นอาณาจักรอย่างรวดเร็ว ปี 1923 ทำบริษัทชีสที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากนั้นในปี 1928 คราฟท์ก็วางตลาดก้อนชีสนุ่มๆ สีทองที่มีชื่อแสนไพเราะว่าเวลวีต้า (Velveeta)
สิ่งที่เวลวีต้าไม่เหมือนกับชีสอื่นๆ ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า หางนมที่ถูกแยกออกไปตอนทำชีสถูกนำมาใส่กลับเข้ามาตอนแปรรูป และสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พบนั้นทำให้ชีสมีเนื้อครีมที่แปลกใหม่และคุณค่าทางสารอาหารที่ได้เพิ่มขึ้น และไม่น่าเชื่อว่าร้อยละ 30 ของชีสที่ผลิตทั่วอเมริกานั้นคือชีสของคราฟท์ วิศวกรของคราฟท์ยังนำเทคโนโลยีหลักๆ ทั้งหมดมาใช้ในการผลิตชีสแปรรูป รวมทั้งหม้อที่กวนชีสได้อย่างต่อเนื่องก็ยังถูกใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน เท่านั้นยังไม่พอ นักวิทยาศาสตร์ของคราฟท์ยังคิดค้นการผลิตครีมชีสที่ไฮเทคจนน่าประหลาดใจ
ในยุค 1940 ออสการ์ เจ ลิ้งค์ ได้ผลิตเครื่องแยกครีมเพื่อทำครีมชีส ซึ่งทำให้เราแยกหางนมออกจากครีมชีสได้ภายใน 15 วินาที แทนที่จะเป็นชั่วโมงๆ เหมือนเมื่อก่อน เขายังคิดค้นหม้อต้มพิเศษที่ทำให้เรายืดอายุของสินค้าออกไปได้ถึง 120 วัน ครีมชีสคือชีสธรรมชาติไม่ใช่ชีสแปรรูป แต่การทำให้เนื้อครีมชีสนั้นสมบูรณ์แบบได้นั้นไม่ธรรมดาเลย และมันทำโดยไม่ใช้ครีม มันทำโดยการใช้ให้แบคทีเรียค่อยๆ จัดเรียงประจุไฟฟ้าที่มีอยู่ในนม ประจุไฟฟ้าที่มีในนมอยู่แล้วจะเป็นประจุลบเป็นส่วนใหญ่ มันจึงผลักกันเองและไม่เข้าใกล้กันและกัน นมจึงอยู่ในสภาพของเหลวไม่เป็นเจล แต่เมื่อเราใส่แบคทีเรียลงไป มันจะสร้างกรดบางอย่างและเปลี่ยนกลุ่มประจุไฟฟ้าในโปรตีนให้กลายเป็นประจุบวก ทีนี้พวกมันก็จะเริ่มดึงดูดกันและติดกัน เมื่อประจุมีความสมดุล ส่วนผสมข้นๆ จึงอยู่ในสภาพครีมโดยสมบูรณ์ไม่เหลวไม่แข็ง ณ จุดนั้นมันจะถูกให้ความร้อนอย่างรวดเร็วเพื่อฆ่าแบคทีเรียให้มันหยุดทำงานและก่อตัวเป็นครีมชีส
ในปี 1940 นอร์แมน คราฟท์ น้องชายของเจมส์ ออกแบบระบบกระบอกเย็นที่ไม่เหมือนใคร เพื่อทำผลิตภัณฑ์ที่เขาคิดเอาไว้มาหลายปี ชีสแผ่นสำเร็จรูป ชีสที่ผ่านการให้ความร้อนมาแล้วจะไหลเข้าไปในกระบอกที่ทำความเย็นขนาดใหญ่ มันจะสร้างแผ่นชีสที่เย็นตัวลงอย่างรวดเร็วและแผ่นนั้นก็จะถูกตัดออกเป็นริ้วอย่างรวดเร็ว และจะถูกตัดขวางอีกทีเพื่อให้มีขนาดเป็นสี่เหลี่ยมที่ใส่พอดีกับขนมปัง ซึ่งปกติจะผลิตออกมาเป็นปึกๆ ละ 8 แผ่น จากนั้นก็บรรจุหีบห่อ ฟังดูแล้วเหมือนมันง่าย แต่ก็ถือว่านอร์แมน คราฟท์นั้นเข้าใจคิดมากในยุคนั้น ในที่สุดเมื่อชีสแผ่นนี้ถูกวางจำหน่ายใน ปี 1950 มันเป็นสิ่งที่ฮือฮามาก จากนั้นก็กลายเป็นสินค้าสำคัญจนเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นชีสอเมริกัน ปัจจุบันชีสแต่ละแผ่นยังคงถูกหั่นมาจากโรงงานคราฟท์ จากรายงานประจำปี ชีสของคราฟท์สามารถผลิตได้ถึง 7,200 ล้านแผ่น ปี 1952 คราฟท์วางตลาด Whiz Cheese ชีสแปรรูปความชื้นสูงชนิดทาที่สามารถทาได้เรียบเนียนมากขึ้น
ความสุขของคนนับไม่ถ้วนคือพิซซ่าร้อนๆ เคล็ดลับของมันก็คือมอซซาเรลล่าชีสนั่นเอง มันคือชีสที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอเมริกาจากการนิยมทานพิซซ่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนอเมริกันทานพิซซ่าวันละประมาณ 100 เอเคอร์ ถ้านับตลอดทั้งปีมันก็เป็นพื้นที่ที่สามารถครอบคลุมได้ทั้งแมนฮัตตันด้วยพิซซ่าหนาสองชั้น กลับไปที่อัลโต้แดรี่จากวิสคอนซิน พวกเขาผลิตชีสมอซซาเรลล่าจากนมวัวตลอด 24 ชัวโมง พวกเขาผลิตมอซซาเรลล่าได้ประมาณวันละ 250,000 ปอนด์ ถ้าทั้งปีก็ประมาณ 96 ล้านปอนด์ และในหนึ่งวันสามารถผลิตมอซซาเรลล่าสำหรับใส่พิซซ่าได้ประมาณ 500,000 ถาด
มอซซาเรลล่าเป็นที่รู้จักในฐานะ พาสต้าฟิลาต้า หรือชีสที่สามารถยืดได้ เครื่องจักรที่เรียกว่าคุ๊กเกอร์สเตร็ทเชอร์ (Cooker Stretcher) จะให้ความร้อนกับก้อนเคิร์ด 136 องศาเพื่อละลายมัน การนวดด้วยเครื่องจักรเพื่อเปลี่ยนเคิร์ดเหลวๆ ให้กลายเป็นชีสยืดๆ พอมันออกจากเครื่องผสมและเตาให้ความร้อน มันจะมีเนื้อที่เหนียวหนืดมากๆ ต่อมาเคิร์ดร้อนๆ นี้ถูกเทลงในแม่พิมพ์ เพื่อรักษาเนื้อนุ่มๆ หยุ่นๆ ของมอสซาเรลล่าไว้ ก้อนที่ขึ้นรูปแล้วจะถูกแช่ลงในน้ำเกลือเย็นๆ การแช่น้ำเกลือ 4 ชั่วโมงหยุดกระบวนการบ่มของมันไว้ เมื่อเย็นลงแล้วก้อนมอซซาเรลล่าจะถูกบรรจุลงหีบห่อและถูกบ่มไปอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นชีสจำนวนมาหจะไหลออกมาตามเครื่องตัดและเข้าไปอยู่ในถุงสูญญากาศขนาด 5 ปอนด์ แล้วมันก็จะถูกส่งไปอยู่ตามหน้าพิซซ่าที่อยู่ในเตาอบ
เพื่อให้มอซซาเรลล่าเกรียมนิดหน่อยและยืดได้อย่างสมบูรณ์ คนทำชีสไม่เพียงต้องละละลายและยืดเคิร์ดเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องทำให้แบคทีเรียที่เป็นตัวบ่ม ทำให้โปรตีนนมและแคลเซียมที่เกาะกันอยู่หนาๆ แตกตัวด้วย เพราะแคลเซียมคือกาวที่ยึดโครงสร้างของโปรตีนนมในชีสไว้ด้วยกัน ถ้าเราไม่กำจัดกาวนั้นด้วยกรดระหว่างกระบวนการผลิต ชีสที่ได้ก็จะมีเนื้อทึบๆ ไม่หยุ่นหรือยืด แต่ถ้ากำจัดออกไปทั้งหมดมันก็จะไม่เกาะกันเป็นก้อน
มอซซาเรลล่าแบบดั้งเดิมนั้นทำมาจากนมควาย เมื่อพวกโกธส์ (Goths) นำควายมาจากแคว้น นาเปลส์ (Naples) ช่วงต้นยุคกลาง คนทำชีสอิตาเลียนก็ทำมอซซาเรลล่าดีบูฟาล่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นมควายมีรสชาติหวาน มันและค่อนข้างเข้มข้น มันเหมาะสำหรับการทำมอซซาเรลล่าสดที่ต่างจากชีสสำหรับทำพิซซ่าชนิดอื่นคือมันไม่ได้บ่ม มีความชื้นสูงกว่า มีไขมันสูงกว่า และสามารถกินได้ทันที บริษัทชีสเล็กๆ ในแคลิฟอร์เนียที่ชื่อ Bubalus bubalis ตามชื่อวิทยาศาสตร์ของควายผลิตมอซซาเรลล่าสดได้ 600 ปอนด์ทุกวัน เท่ากับที่อัลโต้แดรี่ผลิตได้ใน 4 นาที เมื่อใส่ก้อนเคิร์ดมอซซาเรลล่าลงในเครื่อง Cooker Stretcher แล้ว สัญชาติญาณและประสบการณ์ของคนทำชีสคือทุกสิ่งทุกอย่าง คนทำชีสใส่น้ำร้อนประมาณ 200 องศาลงไปเพื่อให้เคิร์ดนุ่มและยืดได้อีกครั้ง จากนั้นก็ใส่เกลือและให้เครื่องจักรยืดไปจนกว่ามันเหนียวพอที่จะเอามาปั้นเป็นลูกบอลได้
มือกลอัตโนมัติของเครื่อง Cooker Stretcher จำลองมือมนุษย์ที่เป็นเครื่องมือเก่าแก่เพื่อยืดดึงมอซซาเรลล่าสด มอซซาเรลล่านั้นหมายถึงตัดได้ด้วยมือ เพราะคำว่า Mozzare ในภาษาอิตาเลียนนั้นแปลว่าตัด พอเครื่องปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วก็จะช็อคมันด้วยน้ำเกลือเย็นจัด ที่โรงงาน Bubalus bubalis ยังผลิตรีค็อตต้านมควายอีกด้วย รีค็อตต้าไม่เหมือนชีสชนิดอื่นเพราะมันทำมาจากหางนมคัดทิ้งทั้งหมด แทนที่จะเป็นเคิร์ด
หางนมคือสิ่งที่เหลือหลังจากได้เคิร์ดแล้ว ซึ่งยังมีโปรตีนเหลืออยู่มาก และจะเอาหางนมนี้ไปใส่ในถังแยกต่างหากเพื่อทำ รีค็อตต้า (Ricotta) และจะต้มมันจนมีอุณหภูมิ 198 องศา จากนั้นก็จะใส่เกลือและกรดซิตริกลงไปนิดหน่อย โปรตีนซึ่งอยู่ในหางนมนั้นก็จะจับตัวเป็นก้อนอีกครั้ง แยกชั้นออกมาจากของเหลว ก็ช้อนออกมาใส่บรรจุภัณฑ์
หางนมไม่เพียงเอามาทำเป็นรีค็อตต้าเท่านั้น มันถูกจัดว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูง และนำมาผลิตให้เป็นผงเพื่อทำเวย์โปรตีนสำหรับนักกีฬาที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ที่โรงงานของอัลโต้แดรี่มีเครื่องทำผงหางนมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มันสามารถผลิตผงหางนมได้ประมาณ 12,000 ปอนด์ต่อชั่วโมง หางนมที่เป็นของเหลวจะถูกฉีดผ่านหัวพ่นสวนผ่านลมร้อนเพื่อให้ความชื้นระเหยออกไปแล้วตกลงมากลายเป็นผง ผงหางนมประกอบด้วยโปรตีนประมาณร้อยละ 12 ที่เหลือส่วนใหญ่คือน้ำตาลนมกับแร่ธาตุเช่นแคลเซียมหรือแมกนีเซียม อดีตของเหลือทิ้งนี้จะถูกผสมเข้ากับอาหารนับไม่ถ้วนตั้งแต่ขนมปังไปจนถึงไส้กรอก ในบรรดาคุณประโยชน์มากมาย หางนมทำหน้าที่เป็นสารให้ความหวาน โดยให้โปรตีนและแร่ธาตุสำคัญด้วย
หางนมไม่ใช่แค่อาหารเพื่อฟื้นฟูสุขภาพเท่านั้นมันยังมีคุณสมบัติของอาหารที่มีในชีสอีกด้วย ชีสมีไขมันมาก แต่นักวิทยาศาสตร์จากวิสคอนซินในศูนย์วิจัยค้นคว้าด้านการผลิตนมร่วมงานกับฟาร์มนมและคนทำชีสเพื่อกลั่นสารอาหารที่ดีกว่านั้นจากไขมัน โดยเพิ่มระดับไขมันโอเมก้า 3 ของชีสซึ่งเป็นไขมันดี พวกเขาเพิ่มระดับโอเมก้า 3 ในชีสด้วยวิธีการ 2 อย่าง อย่างแรกคือการให้อาหารที่ดีกับวัวที่รีดนม อย่างเมล็ดของต้นป่าน อีกวิธีหนึ่งก็คือผสมสารที่ได้จากทะเลไม่ว่าจะได้จากปลาหรือสาหร่าย นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิธีแยกกลิ่นคาวต่างๆ ออกจากปลาได้ หรือแม้กระทั่งการผสมสารที่เป็นโปรไบโอติกลงในชีส ที่ทำให้มันมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร
แม้จะมีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีสก็ยังจะถูกปรับแต่งวิธีการผลิตโดยความคิดสร้างสรรค์ของคนทำชีสแต่ละคนต่อไป ชีสจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับผืนดิน และสัตว์อันเป็นแหล่งที่มาของมัน อาหารที่วัว ควาย แกะ แพะกิน สารอาหารที่ถุกแปลงเป็นน้ำนม กลายเป็นไขมัน แล้วกลายเป็นชีส ทำให้ชีสมีความซับซ้อนและมีลักษณะของมันเอง มันน่ามหัศจรรย์มาก มันอยู่กับเรามานานเหตุผลเพราะว่า มันเป็นอาหารที่ดี พระเจ้าสร้างมนุษย์ มนุษย์สร้างชีส
บทความแนะนำ
10 อันดับอาหารหม้อไฟของญี่ปุ่น
10 อันดับอาหารหม้อไฟของญี่ปุ่น
เข้าหน้าหนาวอาหารหม้อไฟเป็นที่นิยมอย่างสูง รายการโกโกริโกะเกมกึ๋ยส์ได้ทำการสำรวจความเห็นจากนักเขียนนิตยสารด้านหม้อไฟของญี่ปุ่น จนได้ออกมาเป็น 10 อันดับหม้อไฟประจำท้องถิ่น โดยให้ดาราที่เป็นแขกประจำของรายการทำภารกิจทาน 10 หม้อไฟนี้ให้หมด มาดูกันว่ามีหม้อไฟอะไรกันบ้าง
อันดับที่ 10 หม้อไฟเครื่องในกับมะเขือเทศ
หม้อไฟที่เป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ร้านหม้อไฟสไตล์ฟุกุโอกะที่หาทานได้ในชิบุย่า มีเมนูหม้อไฟให้เลือกถึง 8 ชนิด สำหรับหม้อไฟมะเขือเทศที่ร้านนี้แนะนำนั้นในปี 2009 เป็นที่นิยมในหมู่คุณผู้หญิงสุดๆ จนกลายเป็นเมนูใหม่ของร้านหม้อไฟทั่วไป นี่คือหม้อไฟเพื่อความงามอย่างแท้จริง เพราะมะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซีและสารไลโคปีนที่ช่วยป้องกันการทำงานของสมองไม่ให้เสื่อมเร็วด้วย นอกจากนี้ยังใส่เครื่องในที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนและมีโปรตีนสูง แถมยังมีไขมันต่ำไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นหม้อไฟเพื่อสุขภาพและความงามที่สาวๆ ชื่นชอบ และเมื่อทานหมดแล้วเหลือน้ำซุปก็จะใส่ชีสและเครื่องเทศและข้าวลงไปกลายเป็นรีซ็อตโต้ข้าวที่ชุ่มไปด้วยน้ำซุปมะเขือเทศรสเข้มข้น
อันดับที่ 9 หม้อไฟมิโสะเผ็ดหมูดำ
หม้อไฟแบบเผ็ดสุดฮิตที่ใช้หมูดำชั้นดีจากจังหวัดคาโกชิม่าเป็นส่วนผสม หม้อไฟจากร้านนาเบะชิมะอิจิโร่เป็นร้านที่ขายหม้อไฟโดยเฉพาะและมีหม้อไฟให้เลือกถึง 10 ชนิดด้วยกัน ส่วนเมนูหม้อไฟที่อยู่ในอันดับที่ 9 นี้ดัดแปลงมาจากชาบูชาบูหม้อดำในท้องถิ่น น้ำซุปที่ใช้ก็ผสมมิโสะสี่ชนิด
อันดับที่ 8 หม้อไฟนกเป็ดน้ำ
หม้อไฟแสนอร่อยชื่อดังที่มีคิวยาวสุดๆ จากจังหวัดไซตามะ หม้อไฟนกเป็ดน้ำโคชิกายะกับต้นหอม ช่วงที่สามารถทานนกเป็ดน้ำได้คือช่วงจัดงานผลผลิตแห่งเมืองโคชิกายะ นกเป็ดน้ำมีรสสัมผัสที่เหนียวนุ่ม ไม่มีกลิ่นคาว ต้นหอมก็อวบ อร่อย และช่วยให้น้ำซุปมีรสหวาน และเมื่อทานหมดแล้วเหลือน้ำซุป ก็สามารถสั่งเส้นอุด้งมาทานต่อกับน้ำซุป ซึ่งเส้นก็จะซึมซับน้ำซุปที่มีความเข้มข้น
อันดับที่ 7 หม้อไฟเกี๊ยวซ่าอุซุโนะมิยะ
เรามากันที่จังหวัดโทชิกิกับหม้อไฟแสนอร่อยราคาถูกที่ใครๆก็ยอมรับ ใช้เกี๊ยวซ่าจากร้านคิอะรันเสะซึ่งเป็นร้านเกี๊ยวซ่าชื่อดังของอุซุโนะมิยะ ร้านนี้ตั้งอยู่ที่นะมุโกะนันจะทาวน์ในอิเคะบุกุโระเกี๊ยวซ่าสเตเดี้ยมที่รวมเอาเกี๊ยวซ่าจากทั่วประเทศมาขาย นี่เป็นหม้อไฟยอดฮิตจากร้านอุซุโนะมิยะคิระเซะ ใช้เกี๊ยวซ่าโกราคุ ซึ่งเป็นเกี๊ยวซ่าที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในการจัดประกวดที่อิเคะบุกุโระเกี๊ยวซ่าสเตเดี้ยมแห่งนี้ เกี๊ยวซ่าโกราคุทานกับอาหารทะเลตามฤดูกาลในน้ำซุปคอมบุในหม้อไฟนี้เป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ
อันดับที่ 6 หม้อไฟคิริทัมโปะคอลลาเจน
หม้อไฟจากจังหวัดอาคิตะที่เชื่อกันว่าทานแล้วผิวจะนุ่มลื่น จากร้านกินซ่าฮินายะ ซึ่งจะใส่คอลลาเจนก้อนที่ได้จากไก่ฮิไน คิริทัมโปะ(ข้าวสวยอัดเป็นก้อนเสียบไม้ย่าง) และใส่เนื้อไก่ฮิไนแบบเป็นชิ้นและแบบสับเป็นก้อนลูกชื้นบะช่อ เนื้อไก่ฮิไนเคยได้รับเลือกในการแข่งขันโอลิมปิคอาหารที่เยอรมันอีกด้วย น้ำซุปที่ใช้ก็เป็นน้ำซุปไก่ใส่ซอสโชยุแถมยังมีความเข้มข้นจากคอลลาเจนอีกด้วย คิริทัมโปะก็ซึมซับน้ำซุปได้เป็นอย่างดี
อันดับที่ 5 หม้อไฟผักนึ่งเพื่อสุขภาพ
เราไปกันที่โตเกียวเพื่อสุขภาพแบบสุดๆ กับสไตล์ที่เปลี่ยนไป ร้านที่ว่านี้ตั้งอยู่ที่เมกุโระ ร้านทาเรโนะฮิ เป็นผักหลายชนิดนึ่งอยู่ในหม้อนึ่งทำให้สารอาหารและวิตามินยังอยู่เกือบครบ แถมความอร่อยยังอยู่เต็มเปี่ยม จุดเด่นอีกอย่างคือซอสทั้งสิบชนิดที่ทำจากวัตถุดิบต่างๆ ที่สามารถเลือกนำมาทานได้ และน้ำซุปที่ได้จากการนึ่งยังเอามาทานต่อด้วยการใส่พาสต้าแบบเส้นเล็กกับไข่ปลาเมนไตโกะลงไป
อันดับที่ 4 หม้อไฟฮอกไกโดจังโกะ
หม้อไฟจากฮอกไกโดมากันที่ร้านอิชิการิกาวะย่านชินจูกุ จุดเด่นของร้านคือสามารถลิ้มรสความอร่อยของสัตว์ทะเลท้องถิ่นในฤดูกาลของฮอกไกโดซึ่งเป็นร้านที่ว่ากันว่าปลาอร่อยมากเป็นหม้อไฟที่รวบรวมของอร่อยของฮอกไกโดเอาไว้ เป็นเมนูที่ดัดแปลงจากอาหารของชาวประมงท้องถิ่น หม้อไฟนี้รวบรวมเอาวัตถุดิบอาหารทะเลที่สุดยอดเอาไว้ปลายอย่าง มีความโดดเด่นของน้ำซุปที่ได้ความหวานจากเนื้อปู เมื่อทานหมดแล้วก็ปิดท้ายด้วยข้าวต้มแบบเรียบง่ายที่ใส่ข้าวกับไข่ที่ตีแล้วลงไป
อันดับที่ 3 หม้อไฟแกงกะหรี่จิโดริเนียว
หม้อไฟแสนอร่อยจากจังหวัดมิยาซากิ จากร้านจิโดริเนียวที่มีหม้อไฟให้ลองมากกว่าสิบชนิด ส่วนหม้อไฟที่แนะนำนี้เป็นหม้อไฟที่ใช้น้ำซุปที่ทำจากปลาคัตสึโอะ โชยุ มิโสะข้าวสาลี มิโสะเผ็ด และเครื่องเทศแกงกะหรี่ ได้รสชาติที่นุ่มนวลแต่เข้มข้นด้วยความหอมจากเครื่องเทศแกงกะหรี่ ส่วนวัตถุดิบในหม้อไฟก็มีทั้งเนื้อหมู ไก่ และผักหลากหลายชนิดเช่นผักกาดขาว ต้นหอม หน่อไม้ เห็ด เมื่อกินหมดก็ปิดท้ายด้วยรีซ็อตโต้ที่ใส่ข้าวกับชีสลงในน้ำซุป
อันดับที่ 2 หม้อไฟกิมจิหอยนางรม
หม้อไฟเกาหลีที่ใส่หอยนางรมสดๆ จากร้านกินซ่าคานาวะที่มีสาขาใหญ่อยู่ที่จังหวัดฮิโรชิม่า สามารถลิ้มรสหอยนางรมที่สดใหม่จากหอยนางรมที่เพาะเลี้ยงไว้ได้ทุกวัน ส่วนหม้อไฟที่แนะนำนี้เป็นหม้อไฟรสเผ็ดที่มีรสชาติแบบเกาหลีเพราะใส่กิมจิลงไปด้วย แถมยังสามารถลิ้มลองหอยนางรมดิบแบบสดๆ ก่อนทานแบบหม้อไฟได้ด้วย
อันดับที่ 1 หม้อไฟไก่ชาโมร็อกคุเซมเบ้
หม้อไฟต้นตำรับจากจังหวัดอาโอโมริ หม้อไฟพื้นเมืองแสนอร่อยในประวัติศาสตร์ จากร้านองจิกิทาจิกาวายะ หม้อไฟที่ถือกำเนิดจากอาโอโมริเป็นที่แรก และยังเป็นของพื้นเมืองของที่นั่นอีกด้วย เป็นหม้อไฟที่อัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบและเครื่องปรุงรสที่พิเศษที่สุด แปลกตรงที่ใส่น้ำซุปชาโมร็อกคุเซมเบ้ เวลาทานก็หักขนมเซมเบ้ (ข้าวเกรียบแบบญี่ปุ่น) ลงไปในหม้อ ส่วนชาโมร็อกคุเป็นชื่อของเนื้อไก่ในท้องถิ่นของอาโอโมริที่มีมาตรฐานระดับเดียวกับไก่นาโกย่าโคจิน การใส่เซมเบ้ลงไปในหม้อไฟของที่นี่ทานกันมานานตั้งแต่สมัยเอโดะ และหม้อไฟนี้ยังได้รับรางวัลชนะเลิศอาหารท้องถิ่นเกรดบีมาสามปีซ้อน ส่วนน้ำซุปที่เหลือก็ใช้ทำข้าวต้มเครื่องที่ตีแล้วใส่ลงไปพร้อมต้นหอมนิดหน่อย
ที่มา รายการโกโกริโกะเกมกึ๋ยส์
แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่ จัดอันดับ
เข้าหน้าหนาวอาหารหม้อไฟเป็นที่นิยมอย่างสูง รายการโกโกริโกะเกมกึ๋ยส์ได้ทำการสำรวจความเห็นจากนักเขียนนิตยสารด้านหม้อไฟของญี่ปุ่น จนได้ออกมาเป็น 10 อันดับหม้อไฟประจำท้องถิ่น โดยให้ดาราที่เป็นแขกประจำของรายการทำภารกิจทาน 10 หม้อไฟนี้ให้หมด มาดูกันว่ามีหม้อไฟอะไรกันบ้าง
อันดับที่ 10 หม้อไฟเครื่องในกับมะเขือเทศ
หม้อไฟที่เป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ร้านหม้อไฟสไตล์ฟุกุโอกะที่หาทานได้ในชิบุย่า มีเมนูหม้อไฟให้เลือกถึง 8 ชนิด สำหรับหม้อไฟมะเขือเทศที่ร้านนี้แนะนำนั้นในปี 2009 เป็นที่นิยมในหมู่คุณผู้หญิงสุดๆ จนกลายเป็นเมนูใหม่ของร้านหม้อไฟทั่วไป นี่คือหม้อไฟเพื่อความงามอย่างแท้จริง เพราะมะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซีและสารไลโคปีนที่ช่วยป้องกันการทำงานของสมองไม่ให้เสื่อมเร็วด้วย นอกจากนี้ยังใส่เครื่องในที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนและมีโปรตีนสูง แถมยังมีไขมันต่ำไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นหม้อไฟเพื่อสุขภาพและความงามที่สาวๆ ชื่นชอบ และเมื่อทานหมดแล้วเหลือน้ำซุปก็จะใส่ชีสและเครื่องเทศและข้าวลงไปกลายเป็นรีซ็อตโต้ข้าวที่ชุ่มไปด้วยน้ำซุปมะเขือเทศรสเข้มข้น
อันดับที่ 9 หม้อไฟมิโสะเผ็ดหมูดำ
หม้อไฟแบบเผ็ดสุดฮิตที่ใช้หมูดำชั้นดีจากจังหวัดคาโกชิม่าเป็นส่วนผสม หม้อไฟจากร้านนาเบะชิมะอิจิโร่เป็นร้านที่ขายหม้อไฟโดยเฉพาะและมีหม้อไฟให้เลือกถึง 10 ชนิดด้วยกัน ส่วนเมนูหม้อไฟที่อยู่ในอันดับที่ 9 นี้ดัดแปลงมาจากชาบูชาบูหม้อดำในท้องถิ่น น้ำซุปที่ใช้ก็ผสมมิโสะสี่ชนิด
อันดับที่ 8 หม้อไฟนกเป็ดน้ำ
หม้อไฟแสนอร่อยชื่อดังที่มีคิวยาวสุดๆ จากจังหวัดไซตามะ หม้อไฟนกเป็ดน้ำโคชิกายะกับต้นหอม ช่วงที่สามารถทานนกเป็ดน้ำได้คือช่วงจัดงานผลผลิตแห่งเมืองโคชิกายะ นกเป็ดน้ำมีรสสัมผัสที่เหนียวนุ่ม ไม่มีกลิ่นคาว ต้นหอมก็อวบ อร่อย และช่วยให้น้ำซุปมีรสหวาน และเมื่อทานหมดแล้วเหลือน้ำซุป ก็สามารถสั่งเส้นอุด้งมาทานต่อกับน้ำซุป ซึ่งเส้นก็จะซึมซับน้ำซุปที่มีความเข้มข้น
อันดับที่ 7 หม้อไฟเกี๊ยวซ่าอุซุโนะมิยะ
เรามากันที่จังหวัดโทชิกิกับหม้อไฟแสนอร่อยราคาถูกที่ใครๆก็ยอมรับ ใช้เกี๊ยวซ่าจากร้านคิอะรันเสะซึ่งเป็นร้านเกี๊ยวซ่าชื่อดังของอุซุโนะมิยะ ร้านนี้ตั้งอยู่ที่นะมุโกะนันจะทาวน์ในอิเคะบุกุโระเกี๊ยวซ่าสเตเดี้ยมที่รวมเอาเกี๊ยวซ่าจากทั่วประเทศมาขาย นี่เป็นหม้อไฟยอดฮิตจากร้านอุซุโนะมิยะคิระเซะ ใช้เกี๊ยวซ่าโกราคุ ซึ่งเป็นเกี๊ยวซ่าที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในการจัดประกวดที่อิเคะบุกุโระเกี๊ยวซ่าสเตเดี้ยมแห่งนี้ เกี๊ยวซ่าโกราคุทานกับอาหารทะเลตามฤดูกาลในน้ำซุปคอมบุในหม้อไฟนี้เป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ
อันดับที่ 6 หม้อไฟคิริทัมโปะคอลลาเจน
หม้อไฟจากจังหวัดอาคิตะที่เชื่อกันว่าทานแล้วผิวจะนุ่มลื่น จากร้านกินซ่าฮินายะ ซึ่งจะใส่คอลลาเจนก้อนที่ได้จากไก่ฮิไน คิริทัมโปะ(ข้าวสวยอัดเป็นก้อนเสียบไม้ย่าง) และใส่เนื้อไก่ฮิไนแบบเป็นชิ้นและแบบสับเป็นก้อนลูกชื้นบะช่อ เนื้อไก่ฮิไนเคยได้รับเลือกในการแข่งขันโอลิมปิคอาหารที่เยอรมันอีกด้วย น้ำซุปที่ใช้ก็เป็นน้ำซุปไก่ใส่ซอสโชยุแถมยังมีความเข้มข้นจากคอลลาเจนอีกด้วย คิริทัมโปะก็ซึมซับน้ำซุปได้เป็นอย่างดี
อันดับที่ 5 หม้อไฟผักนึ่งเพื่อสุขภาพ
เราไปกันที่โตเกียวเพื่อสุขภาพแบบสุดๆ กับสไตล์ที่เปลี่ยนไป ร้านที่ว่านี้ตั้งอยู่ที่เมกุโระ ร้านทาเรโนะฮิ เป็นผักหลายชนิดนึ่งอยู่ในหม้อนึ่งทำให้สารอาหารและวิตามินยังอยู่เกือบครบ แถมความอร่อยยังอยู่เต็มเปี่ยม จุดเด่นอีกอย่างคือซอสทั้งสิบชนิดที่ทำจากวัตถุดิบต่างๆ ที่สามารถเลือกนำมาทานได้ และน้ำซุปที่ได้จากการนึ่งยังเอามาทานต่อด้วยการใส่พาสต้าแบบเส้นเล็กกับไข่ปลาเมนไตโกะลงไป
อันดับที่ 4 หม้อไฟฮอกไกโดจังโกะ
หม้อไฟจากฮอกไกโดมากันที่ร้านอิชิการิกาวะย่านชินจูกุ จุดเด่นของร้านคือสามารถลิ้มรสความอร่อยของสัตว์ทะเลท้องถิ่นในฤดูกาลของฮอกไกโดซึ่งเป็นร้านที่ว่ากันว่าปลาอร่อยมากเป็นหม้อไฟที่รวบรวมของอร่อยของฮอกไกโดเอาไว้ เป็นเมนูที่ดัดแปลงจากอาหารของชาวประมงท้องถิ่น หม้อไฟนี้รวบรวมเอาวัตถุดิบอาหารทะเลที่สุดยอดเอาไว้ปลายอย่าง มีความโดดเด่นของน้ำซุปที่ได้ความหวานจากเนื้อปู เมื่อทานหมดแล้วก็ปิดท้ายด้วยข้าวต้มแบบเรียบง่ายที่ใส่ข้าวกับไข่ที่ตีแล้วลงไป
อันดับที่ 3 หม้อไฟแกงกะหรี่จิโดริเนียว
หม้อไฟแสนอร่อยจากจังหวัดมิยาซากิ จากร้านจิโดริเนียวที่มีหม้อไฟให้ลองมากกว่าสิบชนิด ส่วนหม้อไฟที่แนะนำนี้เป็นหม้อไฟที่ใช้น้ำซุปที่ทำจากปลาคัตสึโอะ โชยุ มิโสะข้าวสาลี มิโสะเผ็ด และเครื่องเทศแกงกะหรี่ ได้รสชาติที่นุ่มนวลแต่เข้มข้นด้วยความหอมจากเครื่องเทศแกงกะหรี่ ส่วนวัตถุดิบในหม้อไฟก็มีทั้งเนื้อหมู ไก่ และผักหลากหลายชนิดเช่นผักกาดขาว ต้นหอม หน่อไม้ เห็ด เมื่อกินหมดก็ปิดท้ายด้วยรีซ็อตโต้ที่ใส่ข้าวกับชีสลงในน้ำซุป
อันดับที่ 2 หม้อไฟกิมจิหอยนางรม
หม้อไฟเกาหลีที่ใส่หอยนางรมสดๆ จากร้านกินซ่าคานาวะที่มีสาขาใหญ่อยู่ที่จังหวัดฮิโรชิม่า สามารถลิ้มรสหอยนางรมที่สดใหม่จากหอยนางรมที่เพาะเลี้ยงไว้ได้ทุกวัน ส่วนหม้อไฟที่แนะนำนี้เป็นหม้อไฟรสเผ็ดที่มีรสชาติแบบเกาหลีเพราะใส่กิมจิลงไปด้วย แถมยังสามารถลิ้มลองหอยนางรมดิบแบบสดๆ ก่อนทานแบบหม้อไฟได้ด้วย
อันดับที่ 1 หม้อไฟไก่ชาโมร็อกคุเซมเบ้
หม้อไฟต้นตำรับจากจังหวัดอาโอโมริ หม้อไฟพื้นเมืองแสนอร่อยในประวัติศาสตร์ จากร้านองจิกิทาจิกาวายะ หม้อไฟที่ถือกำเนิดจากอาโอโมริเป็นที่แรก และยังเป็นของพื้นเมืองของที่นั่นอีกด้วย เป็นหม้อไฟที่อัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบและเครื่องปรุงรสที่พิเศษที่สุด แปลกตรงที่ใส่น้ำซุปชาโมร็อกคุเซมเบ้ เวลาทานก็หักขนมเซมเบ้ (ข้าวเกรียบแบบญี่ปุ่น) ลงไปในหม้อ ส่วนชาโมร็อกคุเป็นชื่อของเนื้อไก่ในท้องถิ่นของอาโอโมริที่มีมาตรฐานระดับเดียวกับไก่นาโกย่าโคจิน การใส่เซมเบ้ลงไปในหม้อไฟของที่นี่ทานกันมานานตั้งแต่สมัยเอโดะ และหม้อไฟนี้ยังได้รับรางวัลชนะเลิศอาหารท้องถิ่นเกรดบีมาสามปีซ้อน ส่วนน้ำซุปที่เหลือก็ใช้ทำข้าวต้มเครื่องที่ตีแล้วใส่ลงไปพร้อมต้นหอมนิดหน่อย
ที่มา รายการโกโกริโกะเกมกึ๋ยส์
แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่ จัดอันดับ
10 อันดับลายสักยันต์ยอดนิยมของคนไทย
10 อันดับลายสักยันต์ยอดนิยมของคนไทย
ที่มา รายการ 5 มหานิยม
วัฒนธรรมการสักลวดลายบนผิวหนัง หรือที่เรียกกันว่า สักลาย หรือสักยันต์ นับเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทย ที่มีกันมาอย่างช้านานดังที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนัง ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าการสักเกิดขึ้นครั้งแรกแมื่อไหร่ ลวดลายการสักยันต์ต่างๆ ที่มีการดัดแปลงและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันของไทยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความเชื่อ โดยผู้ที่สักยันต์นั้นมักจะหวังผลทางไสยศาสตร์ 2 อย่างคือ เมตตามหานิยมและคงกระพันชาตรี โดยในอดีตมีพระเกจิคณาจารย์หลายรูปที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดของการสักยันต์ ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือหลวงพ่อเปิ่นวัดบางพระ แก่นแท้ที่เป็นหัวใจของการสักยันต์นั้นอยู่ที่คาถา ซึ่งกำกับลวดลายแต่ละลาย เป็นคาถาชั้นสูงที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ที่ไว้ใจเท่านั้น
ในปัจจุบันมีสำนักสักยันต์ ตลอดจนมีอาจารย์หลายต่อหลายคนที่ขึ้นชื่อในเรื่องนี้ แต่ถ้าพูดถึงอาจารย์ชื่อดังที่ทำให้กระแสของการสักยันต์กลับมาโด่งดังไปในทุกวงการของประเทศไทยและเป็นที่รู้จักไกลไปทั่วโลกก็ต้องยกให้อาจารย์หนู กันภัย และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันลวดลายต่างๆ ของสำนักอาจารย์หนูนั้นมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เราจึงได้ทำการสำรวจความนิยมจากคนทุกวงการทั้งเหล่านักแสดงและประชาชนทั่วไปว่ารอยสักใดคือรอยสักยันต์ยอดฮิตที่พวกเขานิยมสักมาที่สุด
อันดับที่ 10 ยันต์เก้ายอด
เป็นยันต์ที่มีพุทธคุณด้านคงกระพันชาตรีและเป็นที่นิยมในหมู่นักรบสมัยโบราณ โดยมักจะสักไว้บริเวณท้ายทอย โดยเชื่อกันว่าผู้ที่สักยันต์เก้ายอดนั้นจะคงกระพันชาตรี ฟันแทงไม่เข้า ซึ่งผู้ที่รับการสักยันต์เก้ายอดนั้นจะต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรม หมั่นทำบุญอยู่เสมอ
อันดับที่ 9 ยันต์จิ้งจก
หรือเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นจิ้งจกชั้นพรหม ตัวแทนแห่งเสน่ห์ เมตตามหานิยมและเรียกทรัพย์ที่โด่งดังมานาน ตำแหน่งที่สักนั้นไม่จำกัด มีลายของจิ้งจกมากมายหลายแบบให้เลือกไม่ว่าจะเป็น จิ้งจกมหาโชค ด้วนมหาลาภ แฝดมหาลาภตะขอเงินตะขอทอง และเกี้ยวทับทองดำเป็นต้น
อันดับที่ 8 ยันต์คู่ชีวิต
หรือยันต์อะสิสันติ หรือพระพุทธเจ้าห้ามอาวุธเป็นยันต์ที่มีพุทธคุณป้องกันศาสตราวุธทั้งปวง เชื่อกันว่ามีแล้วชีวิตอยู่คง เป็นยันต์หนึ่งในตำราพิชัยสงครามที่ระบุไว้ว่าเป็นยันต์ชั้นสูงหาค่าประมาณมิได้
อันดับที่ 7 ยันต์แปดทิศ
หรือยันต์อิติปิโสแปดทิศ เป็นยันต์สารพัดป้องกันร้อยแปดที่ในอดีตผู้ที่ต้องเดินทางเข้าป่าหรือพระธุดงค์มักจะเขียนไว้ที่พื้นเสมอ เพื่อช่วยป้องกันสัตว์ร้าย ภูติผีปีศาจ ตลอดจนแคล้วคลาดจากอันตราย จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไกลอยู่เสมอ
อันดับที่ 6 ยันต์โภคทรัพย์
เป็นรอยสักยันต์ที่มีพุทธคุณไม่แพ้ใคร เด่นทางด้านโภคทรัพย์ เงินทองไหลมาเทมา มีไว้ไม่อดตาย ทำมาค้าขึ้น มีเมตตามหานิยม จึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ทำการค้าและธุรกิจต่างๆ โดยส่วนใหญ่มักนิยมสักไว้ที่ท้ายทอยเช่นเดียวกับยันต์เก้ายอด
อันดับที่ 5 ยันต์โสฬสมงคล
ถือเป็นยันต์อันวิเศษสุดกว่ายันต์ทั้งปวง ผู้สักมักจะสักยันต์นี้ไว้ที่กลางหลัง ยันต์นี้ประกอบไปด้วยเลขสามชั้น ชั้นนอกลงด้วยเลข 16 ตัว รอบกลางลงด้วยเลข 12 ตัว ด้วยสูตรตรีนิสิงเห รอบในลงด้วยเลข 6 ตัว ด้วยสูตรจตุโร แล้วทำการลงอักขระเพื่อล้อมรอบยันต์ทั้งสี่ด้าน พร้อมว่าพระคาถาบารมีสามสิบทัศ
***หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ปากเกร็ด นนทบุรี ท่านเอามาจัดสร้างเป็นตะกรุด เรียกว่าตะกรุดโสฬสมงคล ช่วยแก้อาถรรพ์ต่างๆ และป้องกันภัยภยันตราย เสริมโชคลาภ ยันต์โสฬสมงคลเป็นยันต์ของสูง ในเวลาที่มีพิธีกรรมสร้างพระพุทธรูปจะมียันต์นี้ปรากฏอยู่ด้วย***
อันดับที่ 4 ยันต์เสือเหลียวหลัง
โดยทั่วไปยันต์เสือคือยันต์แห่งมหาอำนาจ ตบะ เดชะ และคงกระพัน แต่ถ้าเป็นยันต์เสือเหลียวหลังจะมีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยมพ่วงมาด้วย เป็นเเมตตาชนิดที่คนต้องหันมาเหลียวมองเรา จะสักบริเวณแผ่นหลังค่อนมาทางด้านล่าง นอกจากจะมีความสวยงามโดดเด่นแล้ว ยังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เพราะดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังแอนเจลิน่า โจลีได้เดินทางมาสักถึงเมืองไทย ยันต์เสือเหลียวหลังนี้เป็นเสือปางนารายณ์อวตาร ช่วยเรื่องเมตตามหานิยม ร้ายกลับกลายเป็นดี แก้ฮวงจุ้ยต่างๆ
อันดับที่ 3 ยันต์นะสำเร็จหรือยันต์นะมหาสำเร็จ
เป็นยันต์ที่นิยมนำมาสักบริเวณต้นคอแทนที่ยันต์เก้ายอด เพราะยันต์เก้ายอดมีอิทธิคุณทางมหาอุตที่อาจส่งผลให้อุดเงินไปด้วย ยันต์นะสำเร็จจึงเข้ามาแทนเพื่อช่วยเพิ่มเมตตา ทำการสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ กินไม่รู้สิ้น ช่วยเรื่องงานและโชคลาภโดยตรง
อันดับที่ 2 ยันต์ฉัตรเพชร
เป็นยันต์ที่มีลักษณะเป็นแถวเรียงลงมาแบบเดียวกับยันต์ห้าแถว แต่มีจุดเด่นเพิ่มขึ้นมาคือมีโครงตาข่ายเชื่อมกันระหว่างแถว โดยปกติทั่วไปนิยมสักยันต์ฉัตรเพชรไว้บริเวณไหล่ขวา ยันต์ฉัตรเพชรนี้โดดเด่นด้านโชคลาภการเงิน แก้ดวงชะตาที่ตกต่ำและเสริมดวง ยันต์ฉัตรเพชรค่ายกลนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานบริษัท ค้าขาย ผู้ที่มีบริวารเยอะ ลูกน้องเยอะ มียันต์นี้ไว้เป็นตาข่ายครอบคลุมป้องกันสิ่งไม่ดีต่างๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นตาข่ายเพชรหรือฉัตรเพชรนั่นเอง
อันดับที่ 1 ยันต์ห้าแถว
ยันต์ห้าแถวนี้เป็นยันต์ที่อาจารย์หนู กันภัยคิดค้นขึ้นมาเอง เป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักมากเพราะแอนเจลิน่า โจลี่เดินทางมาสัก ทำให้คนในวงการบันเทิงของประเทศไทยและประชาชนทั่วไปเดินทางมาสักยันต์นี้กัน อาจารย์หนู กันภัยได้คิดค้นมาจากวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า โดยแถวที่หนึ่งช่วยแก้ฮวงจุ้ยที่อยู่อาศัย แถวที่สองหนุนดวงโดยตรง แถวที่สามกันคุณ กันการกระทำ แถวที่สี่ช่วยเรื่องโชคลาภ ความสำเร็จ ทำอะไรก็ประสบกับความสำเร็จ แถวที่หนึ่งเป็นเมตตามหาเสน่ห์
บทความจัดอันดับแนะนำ
ที่มา รายการ 5 มหานิยม
วัฒนธรรมการสักลวดลายบนผิวหนัง หรือที่เรียกกันว่า สักลาย หรือสักยันต์ นับเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทย ที่มีกันมาอย่างช้านานดังที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนัง ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าการสักเกิดขึ้นครั้งแรกแมื่อไหร่ ลวดลายการสักยันต์ต่างๆ ที่มีการดัดแปลงและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันของไทยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความเชื่อ โดยผู้ที่สักยันต์นั้นมักจะหวังผลทางไสยศาสตร์ 2 อย่างคือ เมตตามหานิยมและคงกระพันชาตรี โดยในอดีตมีพระเกจิคณาจารย์หลายรูปที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดของการสักยันต์ ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือหลวงพ่อเปิ่นวัดบางพระ แก่นแท้ที่เป็นหัวใจของการสักยันต์นั้นอยู่ที่คาถา ซึ่งกำกับลวดลายแต่ละลาย เป็นคาถาชั้นสูงที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ที่ไว้ใจเท่านั้น
ในปัจจุบันมีสำนักสักยันต์ ตลอดจนมีอาจารย์หลายต่อหลายคนที่ขึ้นชื่อในเรื่องนี้ แต่ถ้าพูดถึงอาจารย์ชื่อดังที่ทำให้กระแสของการสักยันต์กลับมาโด่งดังไปในทุกวงการของประเทศไทยและเป็นที่รู้จักไกลไปทั่วโลกก็ต้องยกให้อาจารย์หนู กันภัย และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันลวดลายต่างๆ ของสำนักอาจารย์หนูนั้นมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เราจึงได้ทำการสำรวจความนิยมจากคนทุกวงการทั้งเหล่านักแสดงและประชาชนทั่วไปว่ารอยสักใดคือรอยสักยันต์ยอดฮิตที่พวกเขานิยมสักมาที่สุด
อันดับที่ 10 ยันต์เก้ายอด
เป็นยันต์ที่มีพุทธคุณด้านคงกระพันชาตรีและเป็นที่นิยมในหมู่นักรบสมัยโบราณ โดยมักจะสักไว้บริเวณท้ายทอย โดยเชื่อกันว่าผู้ที่สักยันต์เก้ายอดนั้นจะคงกระพันชาตรี ฟันแทงไม่เข้า ซึ่งผู้ที่รับการสักยันต์เก้ายอดนั้นจะต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรม หมั่นทำบุญอยู่เสมอ
อันดับที่ 9 ยันต์จิ้งจก
หรือเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นจิ้งจกชั้นพรหม ตัวแทนแห่งเสน่ห์ เมตตามหานิยมและเรียกทรัพย์ที่โด่งดังมานาน ตำแหน่งที่สักนั้นไม่จำกัด มีลายของจิ้งจกมากมายหลายแบบให้เลือกไม่ว่าจะเป็น จิ้งจกมหาโชค ด้วนมหาลาภ แฝดมหาลาภตะขอเงินตะขอทอง และเกี้ยวทับทองดำเป็นต้น
อันดับที่ 8 ยันต์คู่ชีวิต
หรือยันต์อะสิสันติ หรือพระพุทธเจ้าห้ามอาวุธเป็นยันต์ที่มีพุทธคุณป้องกันศาสตราวุธทั้งปวง เชื่อกันว่ามีแล้วชีวิตอยู่คง เป็นยันต์หนึ่งในตำราพิชัยสงครามที่ระบุไว้ว่าเป็นยันต์ชั้นสูงหาค่าประมาณมิได้
อันดับที่ 7 ยันต์แปดทิศ
หรือยันต์อิติปิโสแปดทิศ เป็นยันต์สารพัดป้องกันร้อยแปดที่ในอดีตผู้ที่ต้องเดินทางเข้าป่าหรือพระธุดงค์มักจะเขียนไว้ที่พื้นเสมอ เพื่อช่วยป้องกันสัตว์ร้าย ภูติผีปีศาจ ตลอดจนแคล้วคลาดจากอันตราย จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไกลอยู่เสมอ
อันดับที่ 6 ยันต์โภคทรัพย์
เป็นรอยสักยันต์ที่มีพุทธคุณไม่แพ้ใคร เด่นทางด้านโภคทรัพย์ เงินทองไหลมาเทมา มีไว้ไม่อดตาย ทำมาค้าขึ้น มีเมตตามหานิยม จึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ทำการค้าและธุรกิจต่างๆ โดยส่วนใหญ่มักนิยมสักไว้ที่ท้ายทอยเช่นเดียวกับยันต์เก้ายอด
อันดับที่ 5 ยันต์โสฬสมงคล
ถือเป็นยันต์อันวิเศษสุดกว่ายันต์ทั้งปวง ผู้สักมักจะสักยันต์นี้ไว้ที่กลางหลัง ยันต์นี้ประกอบไปด้วยเลขสามชั้น ชั้นนอกลงด้วยเลข 16 ตัว รอบกลางลงด้วยเลข 12 ตัว ด้วยสูตรตรีนิสิงเห รอบในลงด้วยเลข 6 ตัว ด้วยสูตรจตุโร แล้วทำการลงอักขระเพื่อล้อมรอบยันต์ทั้งสี่ด้าน พร้อมว่าพระคาถาบารมีสามสิบทัศ
***หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ปากเกร็ด นนทบุรี ท่านเอามาจัดสร้างเป็นตะกรุด เรียกว่าตะกรุดโสฬสมงคล ช่วยแก้อาถรรพ์ต่างๆ และป้องกันภัยภยันตราย เสริมโชคลาภ ยันต์โสฬสมงคลเป็นยันต์ของสูง ในเวลาที่มีพิธีกรรมสร้างพระพุทธรูปจะมียันต์นี้ปรากฏอยู่ด้วย***
อันดับที่ 4 ยันต์เสือเหลียวหลัง
โดยทั่วไปยันต์เสือคือยันต์แห่งมหาอำนาจ ตบะ เดชะ และคงกระพัน แต่ถ้าเป็นยันต์เสือเหลียวหลังจะมีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยมพ่วงมาด้วย เป็นเเมตตาชนิดที่คนต้องหันมาเหลียวมองเรา จะสักบริเวณแผ่นหลังค่อนมาทางด้านล่าง นอกจากจะมีความสวยงามโดดเด่นแล้ว ยังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เพราะดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังแอนเจลิน่า โจลีได้เดินทางมาสักถึงเมืองไทย ยันต์เสือเหลียวหลังนี้เป็นเสือปางนารายณ์อวตาร ช่วยเรื่องเมตตามหานิยม ร้ายกลับกลายเป็นดี แก้ฮวงจุ้ยต่างๆ
อันดับที่ 3 ยันต์นะสำเร็จหรือยันต์นะมหาสำเร็จ
เป็นยันต์ที่นิยมนำมาสักบริเวณต้นคอแทนที่ยันต์เก้ายอด เพราะยันต์เก้ายอดมีอิทธิคุณทางมหาอุตที่อาจส่งผลให้อุดเงินไปด้วย ยันต์นะสำเร็จจึงเข้ามาแทนเพื่อช่วยเพิ่มเมตตา ทำการสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ กินไม่รู้สิ้น ช่วยเรื่องงานและโชคลาภโดยตรง
อันดับที่ 2 ยันต์ฉัตรเพชร
เป็นยันต์ที่มีลักษณะเป็นแถวเรียงลงมาแบบเดียวกับยันต์ห้าแถว แต่มีจุดเด่นเพิ่มขึ้นมาคือมีโครงตาข่ายเชื่อมกันระหว่างแถว โดยปกติทั่วไปนิยมสักยันต์ฉัตรเพชรไว้บริเวณไหล่ขวา ยันต์ฉัตรเพชรนี้โดดเด่นด้านโชคลาภการเงิน แก้ดวงชะตาที่ตกต่ำและเสริมดวง ยันต์ฉัตรเพชรค่ายกลนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานบริษัท ค้าขาย ผู้ที่มีบริวารเยอะ ลูกน้องเยอะ มียันต์นี้ไว้เป็นตาข่ายครอบคลุมป้องกันสิ่งไม่ดีต่างๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นตาข่ายเพชรหรือฉัตรเพชรนั่นเอง
อันดับที่ 1 ยันต์ห้าแถว
ยันต์ห้าแถวนี้เป็นยันต์ที่อาจารย์หนู กันภัยคิดค้นขึ้นมาเอง เป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักมากเพราะแอนเจลิน่า โจลี่เดินทางมาสัก ทำให้คนในวงการบันเทิงของประเทศไทยและประชาชนทั่วไปเดินทางมาสักยันต์นี้กัน อาจารย์หนู กันภัยได้คิดค้นมาจากวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า โดยแถวที่หนึ่งช่วยแก้ฮวงจุ้ยที่อยู่อาศัย แถวที่สองหนุนดวงโดยตรง แถวที่สามกันคุณ กันการกระทำ แถวที่สี่ช่วยเรื่องโชคลาภ ความสำเร็จ ทำอะไรก็ประสบกับความสำเร็จ แถวที่หนึ่งเป็นเมตตามหาเสน่ห์
บทความจัดอันดับแนะนำ
Subscribe to:
Posts (Atom)