เล่าเรื่องสยองขวัญ แดนพิศวง

เล่าเรื่องสยองขวัญ แดนพิศวง

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2530 ซึ่งตอนนั้นผมเป็นทหารตระเวนชายแดน ตอนนั้นกองทหารของผมได้เข้าไปทำภารกิจบางอย่างในป่าแล้วหลงเข้าไปในป่าลึก หาทางออกมาไม่ได้ ติดอยู่ในป่าหลายวันด้วยกัน เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นของวันที่สามที่กองทหารของผมหลงอยู่ในป่าในขณะที่พวกเราทุกคนกำลังทำเปลนอนในป่า ได้ทำเลที่ดีเหมือนกันครับ อยู่ใกล้กับธารน้ำเล็กๆ ในขณะนั่นผมเกิดปวดท้องเบาขึ้นมาก็เลยเดินไปหาที่ทำธุระส่วนตัว ออกห่างไกลมาจากกองทหารมาประมาสัก 100 เมตร ระหว่างที่ผมกำลังทำธุระส่วนตัวอยู่นั้น หูของผมก็บังเอิญเกิดได้ยินเสียงแปลกๆ บนต้นไม้ เสียงนั้นฟังเหมือนกับกำลังมีคนคุยกันอยู่บนต้นไม้ เป็นเสียงผู้หญิงกับเสียงผู้ชาย ในครั้งแรกที่ได้ยินนั้นผมคิดว่ามันต้องเป็นเสียงของขเาศึกแน่ๆ ผมจึงชักมีดพกออกมาแล้วนั่งซุ่มอยู่ใต้ต้นไม้และแอบฟัง แต่พอพยายามจับใจความฟัง ก็ไม่รู้ว่าพวกมันคุยอะไรกันอยู่ เป็นภาษาที่ไม่คุ้นเลย แต่ก็มีเสียงผู้หญิงอยู่ด้วย ในใจก็พลางคิดว่าถ้าเป็นผู้หญิงก็ไม่น่าจะใช่ข้าศึก เสียงของคนสองคนที่คุยกันนั้น ถึงแม้จะเบา แต่ก็พอฟังออก แต่มันจับใจความไม่ได้ว่าเป็นภาษาอะไรกันแน่ ฟังดูเหมือนกับเป็นบทสวดมนต์ของอะไรสักอย่างมากกว่า

ในระหว่างที่แอบฟังอยู่นั้น จู่ๆ ผมก็โดนทากกัดเข้าที่คอ ผมก็เลยสะดุ้ง หันไปเหยียบกิ่งไม้เสียงดัง แกร๊ก แล้วเสียงบนต้นไม้นั้นก็ค่อยๆ เงียบลง ครู่เดียวเท่านั้นก็มีเศษไม้หล่นลงมาที่พื้น ผมจึงรีบชักปืนพกออกมา แล้วหันกระบอกปืนยิงใส่ห้านัดด้วยกัน ในขณะที่ผมยิงปืนออกไปนั้น ผมได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องออกมา แล้วก็เสียงกรีดร้องนั้นดังกว่าเสียงปืนของผมอีกนะครับ สิ่งที่ผมเห็นตอนนั้นก็คือ ผมเห็นขาของผู้หญิงค่อยๆ กลายเป็นขาของค้างคาว

ชั่วอึดใจนั้นทหารทั้งกองร้อยที่ได้ยินเสียงปืนของผม ก็กรูวิ่งเข้ามาตรงจุดที่ผมยืนอยู่ ทหารหลายนายสาดไฟฉายไปที่ต้นไม้ต้นนั้นเห็นเป็นค้างคาวตัวใหญ่ประมาณสัก 3 เมตรได้ บินออกไปจากต้นไม้ต้นนั้น แต่ก็เห็นกันไม่ชัดนักนะครับ แต่กะขนาดคร่าวๆ ก็ประมาณนั้นได้ บินออกไปทั้งหมดสองตัว ทหารหลายนายเดินเข้าไปสำรวจใต้ต้นไม้นั้น เห็นเลือดครับ เลือดที่ผมยิงโดน เป็นสีดำๆ กลิ่นเหม็นสาบมาก หยดไหลตามต้นไม้ต้นนั้นลงมา คนที่เห็นก็รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์นี้ จู่ๆ ก็มีนายทหารคนหนึ่งพูดออกมาว่า มันน่าจะเป็นค้างคาวผี ผมจึงหันไปบอกว่า ผมมั่นใจมากว่าผมยิงโดนจังๆ ถึงห้านัด แต่ว่ามันไม่ตาย ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ ผมจึงรีบสั่งให้ทุกคนกลับที่พักโดยเร็วที่สุด

พอถึงที่พักผมรีบเรียกนายทหารคนนั้น คนที่พูดว่าค้างคาวผีนั่นแหละครับ เข้ามาคุยกันเป็นการส่วนตัวคำแรกที่พูดก็คือ ผมถามเค้าว่า นายรู้ได้อย่างไรว่ามันคือค้างคาวผี นายทหารคนนั้นก็บอกกับผมว่า ผมรู้ครับเพราะว่าปู่เคยเป็นพรานเดินป่าลึกมาก่อน แล้วเขาก็ได้เล่าว่า มันเป็นค้างคาวของไอ้พวกอวิชชา ที่ปลุกเสกให้สัตว์ลงคน ที่คนจะกลายร่างเป็นสัตว์ร้าย เอาไว้กำจัดศัตรูที่เข้ามาในเขตของมัน คล้ายๆ กับเสือสมิงนั่นแหละครับ วิชานี้จะใช้ภาษาที่ติดต่อกับโลกของวิญญาณโดยตรงเป็นภาษากูโบ๊ต นายทหารคนนั้นยังได้บอกอีกว่า มันจะไม่หยุดจนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หลงเข้าไปในเขตแดน้ของมันจะตายลงทั้งหมด ผมจึงถามกลับไปว่า มันจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร นายทหารคนนั้นตอบกลับมาว่า เพื่อจะเอาดวงวิญญาณของคนที่มันฆ่าไปเป็นบริวารของมัน ผมจึงถามว่าแล้วเราต้องทำยังไง จึงจะหนีออกไปจากเขตแดนของมันได้ นายทหารคนนั้นกลับบอกว่าไม่รู้ หลังจากนั้นผมจึงเริ่มสงสัยตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าทำไมในป่าลึกแบบนี้ ป่าทึบแบบนี้กลับไม่มีเสียงสัตว์ป่าเลย แม่แต่เสียงจั๊กจั่นยังไม่มีเลย ผมจึงจัดการสั่งให้ทหารอยู่เวรเฝ้ายามกัน ครั้งและเจ็ดคน

เวลาผ่านไปจนถึงประมาณสามทุ่ม ผมก็ได้ยินเสียงแปลกๆ นั้นอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้อยู่ในบริเวณที่พวกเราพักกันอยู่ และในขณะนั้นพระจันทร์สว่างพอดี พอที่จะมองเห็นได้ ผมเห็นร่างผู้หญิงไม่ใส่เสื้อผ้ายืนอยู่บนยอดของต้นไม้ต้นหนึ่ง ไกลออกไปจากที่พักประมาณสักห้าสิบเมตรเท่านั้น ผมสะกิดจ่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆให้เขาดู จ่าคนนั้นก็เห็นเหมือนที่ผมเห็น แต่ว่าจู่ๆ ร่างของผู้หญิงคนนั้นก็ลอยขึ้น กลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ บินหลบๆปหลังต้นไม้หนาทึบ สิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้นก็คืองานเข้าแล้ว ผมรีบให้ทหารทุกนายเตรียมอาวุธปืนให้พร้อม แล้วผมก็เดินตรงรี่เข้าไปหานายทหารคนที่พูดถึงค้างคาวผีนั่นแหละครับ ผมถามออกไปว่า ถ้าเกิดเรายิงมัน มันจะตายมั้ย นายทหารตอบกลับมาว่า ไม่น่าจะตายครับ อาจจะได้แค่สกัดไว้ชั่วคราว ผมจึงถามกลับไปว่าแล้วมีวิธีที่จะทำให้มันตายได้มั้ย นายทหารคนนั้นนึกอยู่ชั่วครู่ก็บอกออกมาว่า มีอยู่วิธีหนึ่ง นั่นก็คือใช้ไม้ไผ่ชุบน้ำมะพร้าวแล้วแทงทะลุที่หัวใจของมัน หลังจากที่ผมได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกมีความหวังเล็กๆ ผมจึงรีบหันไปสั่งนายทหารจำนวนหนึ่งให้รีบๆปตัดไม้ไผ่ และก็หามะพร้าวมาด้วย

หลังจากที่ได้ของทั้งสองอย่างมาครบแล้วนั้น ผมก็ต้องมีเรื่องประหลาดใจอีกนั่นก็คือ มะพร้าวทุกลูกที่หามา ไม่มีน้ำอยู่ข้างในเลยครับสักลูกเดียว ทำได้ก็แค่เหลาไม้ไผ่ให้มันแหลมเอาไว้แล้วติดตัวเอาไว้คนละอัน ผลัดกันเฝ้ายามจนถึงเช้า ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลาผ่านไปจนพระอาทิตย์เริ่มสาดแสง พวกเราทุกคนก็ได้รีบเก็บของทุกอย่างและพากันเดินทางเพื่อออกจากป่านี้โดยเร็วที่สุด แต่ก็เหมือนกับว่ายิ่งเดินก็ยิ่งเหมือนหลงป่าลึกเข้าไปอีก เสบียงอาหารต่างๆ ก็ใกล้จะหมดแล้ว พวกเราทุกคนเหนื่อยกันมากครับ พอพระอาทิตย์ตรงกับศรีษะก็นั่งพักกันชั่วครู่หนึ่ง แต่ผมไม่พัก เพื่อเดินดูรอบๆ บริเวณนั้น แล้วก็ไปเจอคนสองคน เป็นคนแก่ๆ พกปืนลูกซองห้อยเอาไว้ที่หลัง สองคนนั้นพอมองเห็นพวกเราก็รีบเดินตรงเข้ามาหา นายทหารทุกนายเห็นดังนั้นก็รีบยกปืนขึ้นประทับหันหน้าไปทางชายแก่ทั้งสองคนนั้น แต่ว่าชายแก่หนึ่งในสองคนนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่าไม่ต้องกลัว ข้ามาช่วยพวกเอ็งออกจากป่านี้ พวกเอ็งหลงทางเข้ามาในเขตต้องห้ามกันแล้วรู้ตัวมั้ย

ผมได้ยินดังนั้นก็สั่งให้ทหารทุกนายลดปืนลง แล้วผมก็เดินตรงเข้าไปคุยกับพรานแก่ทั้งสองท่านนี้ ถามพวกเขาว่าหาพวกผมเจอได้ยังไง แล้วที่นี่คือที่ไหน พรานหนึ่งในสองคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า พวกเอ็งได้เจอค้างคาวผีแล้วหรือยัง ผมก็ตอบกลับไปว่าเจอแล้วเมื่อวานนี้ ผมยิงปืนสั้นใส่มันไปทั้งหมดห้านัด แต่มันไม่เป็นอะไรเลย ชายแก่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นมาแล้วก็พูดออกมาว่ากระสุนธรรมดายิงมันไม่ตายหรอก ต้องเป็นกระสุนกระดูกผีเจ็ดป่าช้าเท่านั้น ผมจึงถามพรานแก่ทั้งสองว่า พวกลุงเข้ามาทำอะไรในป่าลึกแห่งนี้ ลุงบอกว่าก็เข้ามาพาพวกเอ็งออกไปแล้วก็จะมาฆ่าไอ้ค้างคาวผีนั้น พรานสองคนนั้นยังบอกอีกว่า พวกเอ็งไม่ต้องรู้หรอกว่าพวกข้าเป็นใครมาจากไหน รู้เอาไว้แค่ว่ามาช่วยพวกเอ็งก็พอแล้ว

ผมจึงตอบกลับไปว่าครับ แล้วถามต่อว่าค้างคาวผีมันมาจากไหน มันมายังไงล่ะครับ พรานเล่าให้ฟังว่า มันเป็นค้างคาวผีของไอ้พวกอวิชชาที่ทำผิดกฎข้อห้ามกลายเป็นปีศาจร้ายสิงร่างคน ทำให้คนที่โดนมันสิงเป็นร่างประทับของมัน แล้วพรานก็ถามกลับมาว่า เอ็งได้เห็นค้างคาวทั้งหมดกี่ตัว ผมตอบไปว่าสามตัวครับ พรานก็ทำท่าตกใจนิดๆ แล้วก็พูดขึ้นว่า พวกเอ็งก็เก่งนะที่รอดชีวิตกันมาได้ ไอ้ค้างคาวผีพวกนี้มันร้ายกว่าเสือสมิงหรือซางอีกนะ ผมถามลุงพรานว่า แล้วพวกผมจะออกไปจากป่านี้ได้ยังไง ลุงเขาก็บอกว่ายังออกไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ฆ่าไอ้ค้างคาวผีพวกนั้น มันลวงตาพวกเอ็งให้หาทางออกไม่เจอ แล้วพวกเอ็งได้เห็นร่างตอนที่มันเป็นคนกันหรือเปล่า ผมตอบว่า เห็นครับเป็นผู้หญิงเปลือยกาย แต่เห็นแค่คนเดียว อีกสองตัวผมไม่เห็นตอนที่มันแปลงเป็นคน ลุงพรานบอกว่า งั้นก็ต้องรีบแล้ว ให้หาพื้นที่โล่งๆ ใกล้ๆ ธารน้ำไว้เป็นที่พักก่อนสำหรับคืนนี้

ผมก็คิดว่าไหนๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วก็ลองทำตามอย่างที่ลุงพรานพูดดู หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย พรานทั้งสองท่านนั้นก็เอาสายสิญจน์มาล้อมรอบพื้นที่ที่ได้เตรียมเอาไว้ แล้วก็นั่งบริกรรมคาถาอะไรสักอย่างนึง พรานอีกท่านหนึ่งก็หันมาบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าออกไปจากบริเวณนี้เด็ดขาด ผมจึงถามพรานท่านนั้นว่า ไอ้พวกค้างคาวผีพวกนี้มันมีกันกี่ตัว ลุงพรานก็บอกว่ามีประมาณสามถึงสี่ตัว แต่ว่ามีบริวารที่เป็นผีป่าอีกเยอะ มันชอบที่จะกินหัวใจของคน ยิ่งกินยิ่งแกร่ง มันเคยไปกินคนในหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน จนเกือบจะเป็นหมู่บ้านร้างทั้งหมดในป่านี้ ในป่าแห่งนี้เมื่อก่อนมันเป็นป่าลับแล เป็นที่อยู่ของหญิงสาวและกินรี เป็นป่าที่หายสาบสูญไปบนโลกนานมากแล้ว ที่พวกเอ็งทั้งหมดหลงเข้ามาได้ก็เป็นเพราะว่า ดวงชะตาของพวกเอ็งทุกคนถึงฆาตกันหมดแล้ว แต่ว่ายังไม่ตายเท่านั้นเอง ยังดีนะที่พวกเขาสองคนมาเจแพวกเอ็งซะก่อน ไม่อย่างนั้นตายทั้งหมดนี้แน่นอน ผมจึงถามกลับไปว่า แล้วลุงพรานทั้งสองคนเข้ามาในป่าแห่งนี้ได้อย่างไร เขาก็ตอบกลับมาว่า ข้าสองคนเป็นคนมีวิชานะ เลยเดินทางเข้าออกได้

ในขณะที่กำลังนั่งคุยกับพรานอยู่นั้น จู่ๆ ก็เกิดมีลมพายุพัดมาจากไหนก็ไม่รู้ แรงมากๆ ครับ แล้วก็มีเสียงผู้หญิงหัวเราะดังมาจากบนฟ้า เห็นเป็นเงาของสัตว์รูปร่างคล้ายๆ ค้างคาวบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวมันใหญ่กว่าที่ผมเห็นครั้งแรกมาก ดูจากลักษณะการบินในขณะที่กางปีกออกมานั้น น่าจะประมาณสักห้าเมตรได้เลย ตัวมันใหญ่จริงๆ และระหว่างนั้นเอง พรานคนที่นั่งบริกรรมคาถาอยู่ได้หยิบเอามีดหมอออกมาจากกระเป๋าแล้วก็ปักลงที่ดิน พอปักลงไปเท่านั้นแหลัก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องออกมาดังมากๆ เสียงน่ากลัวมากจริงๆ พอดึงมีดขึ้นมาก็มีเลือดไหลออกมาจากรอยตรงที่ปักลงไปด้วย ทหารทุกนายต่างเสียขวัญเพราะกลัวกันมากๆ หลายๆ คนตาค้างในสิ่งที่เห็นอยู่ต่อหน้า เลือดที่ไหลออกมาจากแผ่นดิน ลักษณะนั้นคล้ายกับเลือดตรงที่ต้นไม้ที่ยิงค้างคาวผีในครั้งแรกนั่นล่ะครับ กลิ่นสาบสางของเลือดนั้นแรงมาก ทันใดนั้นพรานท่านนั้นก็เอาน้ำมนต์เทลงไปตรงกองเลือดนั้นเอง เลือดนั้นกลายเป็นไอดำๆ รอยที่มีดปักก็หายไป ทันใดนั้นบริเวณรอบๆ ก็เห็นเป็นดวงตาสีแดงหลายร้อยดวง

ลุงพรานบอกให้เอากระสุนของทุกคนมากองรวมกัน แล้วเอาน้ำมนต์พรมลงมาที่ลูกกระสุน แล้วก็เอากระสุนพวกนี้บรรจุลงปืนของทหารแต่ละนาย และเน้นย้ำให้ทุกคนอย่าออกนอกบริเวณที่กั้นเอาไว้แล้ว และกำชับว่าไม่ต้องไปกลัว ถ้าตัวไหนมันขยับก็ยิงได้เลย ทหารหลายๆ นายที่อยู่ริมๆ บริเวณนั้น พอเห็นดวงตาสีแดงขยับก็กระหน่ำยิงไม่ยั้ง หลังจากยิงออกไปกลับมีเสียงกรีดร้องของคน ดังโหยหวนออกมารอบตัว ทั้งเสียงผู้หญิงและผู้ชาย ทำให้ทุกคนขนลุกกันไปหมด ในขณะนั้นผมตกใจจนตัวสั่น แต่ลุงพรานก็ตะโกนบอกเรื่อยๆ ว่าพวกเอ็งอย่าไปกลัวมัน ถ้ารอดออกไปจากคืนนี้ได้พวกเอ็งก็จะได้กลับบ้านแน่นอน ทหารหลายนายยิงออกไปอย่างบ้าคลั่ง จนแสงสีแดงจากแววตาเหล่านั้นค่อยๆ หายไป ทีนี้ผมจึงตั้งสติ ค่อยๆ มองออกไปรอบๆ ตัว เห็นเงาดำๆ วิ่งไปวิ่งมา มองออกไปไกลหน่อยก็เห็นผู้หญิงยืนอยู่บนยอดไม้ไกลออกไปไม่น่าจะเกินร้อยเมตร ที่เห็นได้ชัดก็เพราะว่าแถวนี้มันเป็นที่โล่งและแสงจันทร์ก็สว่างมาก แต่ว่าครั้งนี้ไม่ใช่เห็นแค่ผู้หญิงคนเดียวแล้วนะครับ มีผู้ชายอีกสองคนยืนอยู่ข้างๆ บนยอดไม้ใกล้ๆ กัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่ผู้ชายหรือเปล่า เพราะว่ามันเป็นเงาๆ เลยเห็นไม่ค่อยชัดนัก มันค่อยๆ กระโดดมาพร้อมๆ กันทั้งสามตัว แล้วก็กลายร่างเป็นค้างคาวตัวเล็กสองตัว ตัวใหญ่ 1 ตัว ตัวเล็กน่าจะกว้างประมาณสามเมตรได้ ส่วนตัวใหญ่ปีกมันกว้างมากครับน่าจะสักห้าเมตร พวกมันบินตรงมาทางพวกเรา

ในขณะนั้นพรานชราที่นั่งอยู่ข้างหน้าสุดได้หยิบปืนสั้นยิงออกไปหนึ่งนัดในขณะที่มันกำลังบินเข้ามา แล้วก็มีเสียงผู้ชายครับ เสียงผู้ชายร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วค้างคาวตัวหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมาในวงสายสิญจน์มันเป็นค้างคาวตัวที่เห็นในรูปที่แนบมาให้นั่นแหละครับ แต่อีกสองตัวมันบินหนีไปได้ และมีเสียงของผู้หญิงตะโกนกลับออกมาว่า กูไม่ปล่อยพวกมึงเอาไว้แน่ มันเป็นเสียงที่แปลกประหลาดมากๆ ครับ คล้ายกับเสียงของคนหลายๆ คนพูดออกมาจากจุดๆ เดียว แล้วก็บินหายไปทางไหนก็ไม่รู้ หลังจากนั้น พรานท่านหนึ่งก็หยิบมีดหมอเดินตรงไปที่ซากค้างคาว เอามีดควักหัวใจมันออกมาแล้วก็สับให้มันขาดครึ่ง เอาใส่ไหสองไหไปฝังในดินในทิศตะวันออกหนึ่งไห ทิศตะวันตกหนึ่งไห แล้วก็ตรึงซากค้างคาวไว้เพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณที่มันฆ่า แต่เราก็ฆ่ามันได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น แล้วลุงพรานก็บอกว่า พวกเอ็งทุกคนไม่ต้องกลัว คืนนี้พวกเอ็งนอนพักกันได้แล้ว พรุ่งนี้ข้าสองคนจะทำพิธีเปิดป่าให้พวกเอ็งกลับบ้านกัน

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ผมก็สั่งให้ทหารทุกนายไปนอนพักกัน ระหว่างนั้นผมก็ถามนายพรานทั้งสองท่านว่าแล้วไอ้พวกค้างคาวผีมันจะไม่กลับมาอีกเหรอครับ ลุงพรานก็บอกว่าคืนนี้มันไม่มาหรอก แต่พรุ่งนี้มันมาแน่นอน ลุงพรานยังกำชับอีกว่า พรุ่งนี้พวกเอ็งทุกคนต้องกลับให้ถึงค่าย ไม่อย่างนั้นจะตายกันทั้งหมดนี่แหละ และยังกำชับด้วยอีกว่า พรุ่งนี้ข้าสองคนคงนำทางพวกเอ็งกลับไปไม่ได้ เพราะว่าต้องอยู่ที่นี่อีก แต่ให้พวกเอ็งทุกคนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ที่สำคัญไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามให้ใครหันหลังกลับมามองเด็ดขาด

พอรุ่งเช้า แสงพระอาทิตย์ส่อง ลุงพรานก็ได้ทำพิธีเบิกทาง แล้วผมก็สั่งให้นายทหารทุกคนจัดขบวน แล้วให้นายทหารทุกคนปลดสัมภาระทุกอย่างทิ้งให้หมดทั้งปืนทั้งกระเป๋า แล้วก็ให้เสบียงที่เหลือกับพรานทั้งสองท่านเอาไว้ แล้วทั้งหมดก็รีบเดินมาทางทิศตะวันออก สั่งกำชับทุกฝีเก้าว่า อย่าหันไปมองข้างหลัง เดินไปก็ตะโกนกันไปว่า อย่าหันไปมองข้างหลัง พอเดินผ่านออกไปได้เจอถนน พวกเราทุกคนก็วิ่งไปที่ถนน ต่างคนต่างดีใจ กระโดดกอดกันทั้งน้ำตา รออยู่สักพัก รถทหารของค่ายพวกผมก็ผ่านมาพอดี พวกเราทุกคนก็ได้กลับค่ายกัน

พอกลับมาถึงค่าย ผมก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้นายพลฟังเป็นการส่วนตัว นายพลท่านถามขึ้นมาว่า กองทหารหายไปไหนกันมาตั้งเก้าวัน ผมแปลกใจมากครับเพราะเท่าที่ผมเห็นพระอาทิตย์ขึ้นลงนับได้ก็แค่ห้าวันเอง แล้วนายพลก็ถามว่าเจอพรานแก่ทั้งสองคนด้วยใช่มั้ยถึงออกมาได้ ผมตกใจมากในคำพูดของท่านนายพล แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เรื่องราวก็มีอยู่เท่านี้ล่ะครับ มีสิ่งหนึ่งที่อธิบายไม่ได้อีกเรื่องก็คือพรานทั้งสองท่านนั้นเป็นคนหรือไม่

สยองขวัญ
จัดอันดับ